1.ให้หาความหมายของคำจากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิต 5 คำ1. คอมพิวเตอร์ ความหมายน. เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทําหน้าที่เสมือนสมองกลใช้สําหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์. (อ. computer).2. สารสนเทศ ความหมายหมายถึง ข้อมูลที่นำมาประมวลผลแล้ว และเสนอออกมาในรูปแบบที่ผู้ใช้รู้หรือเข้าใจความหมาย3. การสื่อสาร ความหมายน. วิธีการนำถ้อยคำ ข้อความ หรือหนังสือเป็นต้น จากบุคคลหนึ่งหรือสถานที่หนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งหรืออีกสถานที่หนึ่ง4.วารสาร ความหมาย น. หนังสือที่ออกตามกำหนดเวลา เช่น วารสารราชบัณฑิตยสถาน วารสารศิลปากร วารสารกรมการแพทย์5.หนังสือพิมพ์ ความหมายน. สิ่งพิมพ์ข่าวและความเห็นเป็นต้นเสนอประชาชน ตามปรกติออกเป็นรายวัน; (กฎ) สิ่งพิมพ์ซึ่งมีชื่อจ่าหน้าเช่นเดียวกัน และออกหรือเจตนาจะออกตามลําดับเรื่อยไป มีกําหนดระยะเวลาหรือไม่ก็ตามมีข้อความต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ตาม2.ให้หาความหมายของคำจากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิต 2 ภาษา 5 คำ1.เทคโนโลยีสารสนเทศ - Information Technology2.หนังสืออ้างอิง – Reference Books 3.วารสาร-Periodicals 4.หนังสือพิมพ์-Newspaper 5.วิทยานิพนธ์-Thesis 3.ให้หาความหมายของคำจากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิต 3 ภาษา 5 คำ1. เครื่องคิดเลข - adder -加法器2.ข่าวสาร – information - 信息3.เทคโนโลยีสารสนเทศ - Information Technology - 信息技術4.การสื่อสาร – Information - 電信5.จอคอมพิวเตอร์- monitor-监视器
4.ให้หาความหมายของคำจากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิต เฉพาะวิชา 5 คำ1.เภสัชกรรม[เพสัดชะกํา] น. วิทยาศาสตร์แขนงที่ว่าด้วยการเตรียมเครื่องยา ตัวยาจากธรรมชาติหรือการสังเคราะห์ให้เป็นยาสําเร็จรูป.2.เภสัชกร[เพสัดชะกอน] น. แพทย์ปรุงยา, ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบ โรคศิลปะสาขาเภสัชกรรม.3.เทคโนโลยีน. วิทยาการที่นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม. (อ. technology).4.ประวัติศาสตร์[ปฺระหฺวัดติสาด, ปฺระหฺวัดสาด] น. วิชาว่าด้วยเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือเรื่องราวของประเทศชาติเป็นต้นตามที่บันทึกไว้เป็นหลักฐาน5.วิทยาศาสตร์
น. ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ, วิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐานและเหตุผลแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ.
5.ให้หาความหมายของคำ จาก Dictionary (Eng-Eng) 5คำ1. newspaper noun
[C] a regularly printed document consisting of news reports, articles, photographs and advertisements that are printed on large sheets of paper which are folded together but not permanently joined 2. thesis noun a long piece of writing on a particular subject, especially one that is done for a higher college or university degree 3. clipping noun n • [C usually plural] a piece that has been cut off something grass/nail clippings• [C] an article cut from a newspaper A friend sent me a newspaper clipping about someone we were at school with.
4. map noun
[C] •
a drawing of the Earth's surface, or part of that surface, showing the shape and position of different countries, political borders, natural features such as rivers and mountains, and artificial features such as roads and buildings
5. database noun
a large amount of information stored in a computer system in such a way that it can be easily looked at or changed
6.ให้หาสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิต 1 เรื่องกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแต่เดิมเป็นเมืองแฝดคู่กับจังหวัดธนบุรี ต่อมาได้รวมกันเป็นจังหวัดเดียว กรุงเทพมหานครจึงเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก มีลักษณะที่เป็นชุมนุมชนขนาดใหญ่ และเขตการเกษตรเรือกสวนไร่นา มีประชากรมากที่สุดในประเทศไทยกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางของการปกครองประเทศ เป็นที่ตั้งของกระทรวง ทบวง กรม และสถานที่ราชการที่สำคัญ ตลอดจนรัฐสภา ดังนั้นการบริหารราชการและการบัญญัติตัวบทกฎหมาย จึงมีจุดเริ่มต้นที่ราชธานีแห่งนี้ ถ้าจะกล่าวว่าถนนทุกสายของประเทศไทยเริ่มต้นจาก และมุ่งสู่กรุงเทพมหานครก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางทางด้านธุรกิจ การพาณิชย์ และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การขนส่งผลิตผลต่างๆ ทั้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรมย่อยจะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อการตลาดและการส่งออกนอกประเทศทั้งสิ้น กรุงเทพมหานครเป็นที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานใหญ่ของธนาคารเป็นจำนวนมาก การคมนาคม การสื่อสาร และการขนส่ง ก็มีศูนย์กลางในกรุงเทพมหานคร กล่าวคือท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีขนส่ง ศูนย์โทรคมนาคม การไปรษณีย์โทรเลข บริษัทที่ดำเนินกิจการด้านคมนาคม และการขนส่งล้วนตั้งอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ทางด้านการศึกษาของประชาชน กรุงเทพมหานครเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ที่ตั้งมาหลายปีแล้ว เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒประสานมิตรและมหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยเปิดหนึ่งแห่งคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนมหาวิทยาลัยเปิดอีกแห่งหนึ่งนั้นคือ มหาวิทยาลัยสุโขทัย-ธรรมาธิราช ตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี นอกจากสถานศึกษาชั้นสูงของรัฐแล้ว ยังมีมหาวิทยาลัยเอกชนวิทยาลัย โรงเรียนทุกประเภททุกระดับอีกมากมาย แม้ว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบทางการศึกษาของชาติจะยืนยันว่ารัฐพยายามจัดการศึกษาให้มีคุณภาพเท่าเทียมกันทั้งในเมืองหลวงและในต่างจังหวัด แต่เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ก็ยังมุ่งพากเพียรที่จะได้เข้ามารับการศึกษาในกรุงเทพมหานคร ทางด้านศิลปวัฒนธรรมนั้น กรุงเทพมหานครเปรียบประดุจ "เมืองฟ้าอมร" ที่งดงามเรืองรองด้วยวัดวาอารามและปราสาทราชวัง ผู้ที่เดินทางเข้าสู่ใจกลางของกรุงเทพฯ ที่เรียกว่า เกาะรัตนโกสินทร์ จะได้เห็นสนามหลวงที่ร่มรื่นและกว้างใหญ่ อยู่ติดกับพระบรมมหาราชวังรูปทรงแบบสถาปัตยกรรมไทยที่วิจิตรตระการตา วัดที่สำคัญที่สุดคือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) นอกจากนี้ ยังมีปูชนียสถานที่สำคัญอีกมากในบริเวณใกล้เคียง แหล่งวิทยาการที่เยาวชนพึงไปศึกษาค้นคว้าก็มีอยู่หลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ห้องสมุดประชาชน ท้องฟ้าจำลอง และศูนย์เยาวชนอีกหลายแห่งนอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสาธารณสุขวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสถานพักผ่อนหย่อนใจต่างๆ เป็นจังหวัดที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชวงศ์ เป็นแหล่งข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ตลอดจนเป็นประตูหน้าด่านที่ชาวต่างประเทศจะได้มาพบเห็นเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะมีความเจริญรุ่งเรือง และมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่กรุงเทพมหานครก็มีปัญหาทางด้านประชากร ชุมชนที่อยู่อาศัยอาชญากรรม การจราจร อุทกภัย และปัญหาด้านอื่นๆ อยู่มาก ประชากรในต่างจังหวัดต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัย เพื่อศึกษาและประกอบอาชีพในกรุงเทพมหานคร ทำให้เกิดชุมชนแออัด ปัญหาด้านสาธารณสุข มลพิษ ยาเสพติด และความเหลื่อมล้ำในมาตรฐานการครองชีพในสังคมเมืองหลวง การบริหารและการปกครองกรุงเทพมหานครจึงมีขอบข่ายกว้างขวางและมีความซับซ้อนมากอย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้รัฐได้พยายามขยายและกระจายความเจริญออกไปสู่ชนบททั่วประเทศ ดังนั้น ความเสมอภาคในโอกาสและมาตรฐานการดำรงชีวิตของประชาชนย่อมได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากรัฐอย่างทั่วถึง ความจำเป็นที่คนต่างจังหวัดต้องเดินทางมาแสวงโชคในเมืองหลวงย่อมจะลดน้อยลงในที่สุด จังหวัดทุกจังหวัดของประเทศไทยก็ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
7.ให้หาสารานุกรมไทยเฉพาะวิชา 1 เรื่องมหาราชในประวัติศาสตร์ไทย โดย หม่อมราชวงศ์แสงโสม เกษมศรี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสุโขทัยได้ทรงประกอบราชกิจที่สำคัญไว้มาก สมควรกล่าวถึงดังนี้คือ ๑. ทรงมีความเข้มแข็งในการรบ เมื่อมีพระ-ชันษาเพียง ๑๙ ปี ได้ ช่วยพระราชบิดาสู้รบศัตรูอย่างกล้าหาญได้ทรงชนช้างกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ที่ยกกองทัพมารุกรานกรุงสุโขทัยจนได้ชัยชนะพระราชบิดาจึงพระราชทานนามว่า พระรามคำแหงเมื่อเป็นกษัตริย์แล้ว พระองค์ได้ทรงรบขยายราชอาณาจักรออกไปกว้างขวางมาก เป็นที่ยำเกรงแก่ประเทศเพื่อนบ้านทั้งปวง ๒. ทรงเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศใกล้เคียง เช่น ทรงเป็นเพื่อนสนิทกับพระยาเม็งราย (เจ้า-เมืองเชียงใหม่) และพระยางำเมือง (เจ้าเมืองพะเยา)แห่งอาณาจักรลานนา ไกลออกไปทรงเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศจีนซึ่งขณะนั้นมีกุบไลข่าน (พระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้) เป็นกษัตริย์ ได้มีการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศทั้งสอง ทั้งยังได้ทรงนำช่างทำถ้วยชามชาวจีนมาสอนคนไทยตั้งเตาเผาถ้วยชามและเครื่องเคลือบขึ้นที่กรุงสุโขทัย เมืองศรีสัช-นาลัย (เชลียง) และเมืองสวรรคโลก เครื่องเคลือบชนิดนี้เราเรียกว่า "สังคโลก" ทรงติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น ชวา มลายู และลังกานอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจคือ ขณะนั้นมีชาวมอญผู้หนึ่งชื่อ มะกะโท เป็นพ่อค้าจากเมาะตะมะเข้ามาอยู่กรุงสุโขทัยได้ลอบนำองค์พระสุวรรณเทวีพระราชธิดาหนีไปอยู่เมาะตะมะ ต่อมามะกะโทได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์มอญ ทรงพระนามว่าพระเจ้าฟ้ารั่วและมอญก็ได้เข้ามาขอเป็นเมืองขึ้นของกรุงสุโขทัย ๓. ทรงปกครองพลเมืองให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ได้โปรดให้แขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูพระราชวังผู้ใดมีทุกข์ร้อนก็มาสั่นกระดิ่งถวายฎีกาได้ ในวันโกนวันพระได้ทรงนิมนต์พระภิกษุแสดงพระธรรมเทศนาบนพระแท่นมนังศิลาบาตรกลางดงตาล ในวันธรรมดาพระองค์ก็เสด็จออกว่าราชการและให้ราษฎรเข้าเฝ้าอยู่ใกล้ชิด และทรงอบรมศีลธรรมจรรยาแก่ราษฎร (พระแท่นมนังศิลาบาตรนี้ รัชกาลที่ ๔ โปรดให้นำมาไว้ที่กรุงเทพมหานคร ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในวิหารยอด ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ตามพระบัญชาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖) ๔. ใน พ.ศ. ๑๘๒๖ ได้ทรงคิดแบบตัวหนังสือไทยขึ้นแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นเค้าของตัวหนังสือไทยในปัจจุบัน และได้ทรงจารึกเหตุการณ์ในสมัยนั้นลงไว้หลักศิลาจารึกของพระองค์นี้มีคุณค่ามากในการศึกษาประวัติศาสตร์ คนในสมัยหลังได้ทราบเรื่องราวต่างๆ ในสมัยกรุงสุโขทัยจากศิลาจารึกนี้เป็นอย่างมาก (ปัจจุบันศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร) การสร้างแบบหนังสือไทยขึ้นนี้นับว่าเป็นการประดิษฐ์อันสำคัญยิ่งสำหรับชาติ
8.ให้หาสารานุกรมจาก Encyclopedia 1 เรื่อง
ปลา
ปลาเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง มีครีบ มีเกล็ดหรือไม่มีเกล็ด และหายใจทางเหงือก ปลาอาศัยอยู่ในน้ำ อุณหภูมิของตัวปลาเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิของน้ำที่มันอาศัยอยู่ นักวิทยาศาสตร์จึงจัดปลาไว้ในกลุ่มสัตว์เลือดเย็น
ในบรรดาสัตว์มีกระดูกสันหลัง ปลามีจำนวนชนิดมากที่สุด คือ มีอยู่ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ชนิด สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ ที่มีจำนวนชนิดรองไปจากปลา ได้แก่ นก สัตว์ เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก
ปลาต่างชนิดกันมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไป ขนาดของปลาอาจเล็กใหญ่ผิดกันไปได้ตั้งแต่ ๑.๒ เซนติเมตร จนถึง ๒๒ เมตร ปลาส่วนใหญ่มีรูปร่างเพรียว หัวแหลมท้ายแหลม ที่มีรูปร่างเป็นอย่างอื่นก็มีอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ปลาส่วนใหญ่มีเกล็ดปกคลุมทั่วทั้งตัว ปลาที่ไม่มีเกล็ดมักจะมีเมือกลื่นแทน เกล็ดทำหน้าที่ปกคลุมและป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่เนื้อและหนังปลาซึ่งอ่อนนุ่ม เกล็ดส่วนมากเรียงเหลื่อมซ้อนกันหันไปทางหางเหมือนกระเบื้องมุงหลังคา ถ้านำเกล็ดมาตรวจดูด้วยแว่นขยาย รอยวงปีทีเกล็ดจะบอกให้ทราบถึงอายุของปลาได้ปลามีครีบตามลำตัวหลายแห่ง โดยทั่วไปครีบจะช่วยในการทรงตัวและว่ายน้ำ ปลาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและถอยหลังได้ โดยโบกครีบหาง สลับกับการยืดและหดของกล้ามเนื้อลำตัว ครีบอกและครีบท้องเทียบได้กับขาหน้าและขาหลังของสัตว์สี่เท้าบนบก ครีบทั้งสองนี้มีหน้าที่ช่วยครีบอื่นในการทรงตัวครีบอกสำคัญกว่าครีบท้องตรงที่อาจช่วยในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้ ครีบอกที่แผ่กางออกจะต้านน้ำช่วยให้ปลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้เมื่อต้องการครีบหลังและครีบทวารช่วยให้ปลาทรงตัวตรงและเคลื่อนที่ไปได้ตามแนวตรงปลาเกือบทุกชนิดหายใจด้วยเหงือก เมื่อปลาว่ายน้ำมันจะอ้าปากอมน้ำเข้าไว้ในปาก น้ำซึ่งมีก๊าซออกซิเจนละลายปนอยู่ด้วยนี้ จะผ่านเข้าไปทางช่องเหงือกซึ่งตั้งอยู่ในกระพุ้งแก้ม เหงือกจะรับเอาก๊าซออกซิเจนไว้แล้วปล่อยสู่สายเลือด ในขณะเดียวกันก็จะถ่ายเทก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ละลายลงในน้ำ น้ำที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยู่จะถูกส่งออกทางช่องแก้ม แรงส่งออกนี้จะช่วยเสริมให้ปลาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ด้วยปลาบางชนิด เช่น ปลาช่อน ปลาหมอ ปลาดุก มีอวัยวะพิเศษอยู่ใกล้กับเหงือก ใช้ช่วยหายใจในบรรยากาศได้โดยตรง ปลาบางชนิดมีอวัยวะคล้ายปอดทำให้ต้องผุดขึ้นหายใจเหนือน้ำตลอดเวลา มิฉะนั้นก็จะตาย เนื่องจากไม่อาจหายใจทางเหงือกเพียงอย่างเดียวได้ปลากินอาหารแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของปลา อาหารที่ปลากิน โดยทั่วไปได้แก่ พืชน้ำ ปลาบางชนิดกินแพลงก์ตอน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อาจเป็นพืชหรือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ นอกจากนั้นยังมีปลาที่กินแมลง หอย ปู กุ้ง หรือ ปลาตัวที่เล็กกว่าเป็นอาหาร ปลาเกือบทุกชนิดสืบพันธุ์โดยการออกไข่ แม่ปลาวางไข่ครั้งหนึ่งเป็นจำนวนมากมาย ปลาในทะเลหลวงบางชนิดวางไข่ครั้งละกว่า ๓๐ ล้านฟอง เมื่อวางไข่แล้วแม่ปลาพ่อปลามักจากไปเลย ปล่อยให้ไข่ฟักเป็นตัวตามลำพังดังนั้น ไข่และลูกปลาจำนวนมาก จึงกระจัดกระจายและมักถูกสัตว์อื่นกินเป็นอาหารเหลือรอดเป็นตัวและเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นปลาเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ เนื้อปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ปีหนึ่งๆ จึงมีปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็มถูกจับขึ้นมาเพื่อใช้ทำอาหารเป็นจำนวนมาก เฉพาะปลาทะเลที่ถูกจับขึ้นทั่วโลกมีจำนวนมากกว่าปีละ ๖๐ ล้านตัน
9.ให้หาสิ่งพิมพ์รัฐบาลในราชกิจจานุเบกษา 1 เรื่องหนังสือราชกิจจานุเบกษา สิ่งพิมพ์ของรัฐบาลฉบับแรกของไทย
หนังสือเก่าเป็นหนังสือหายาก (Rare Books) ประเภทหนึ่งที่มีคุณค่ามาก เป็นเอกสารอ้างอิงสำหรับการค้นคว้าวิจัย เป็นเอกสารปฐมภูมิ (Primary Source) ในด้านประวัติและการพัฒนาการของการพิมพ์ ทั้งลักษณะรูปเล่ม ตัวอักษร และรูปแบบอื่นๆ หนังสือเก่าหรือหนังสือหายากไม่สามารถหาอ่านได้ในห้องสมุดทั่วๆ ไป และไม่สามารถหาซื้อได้จากสำนักพิมพ์หรือร้านขายหนังสือทั่วไปด้วย หนังสือเก่าบางประเภทมีราคาสูงมากทัดเทียมกับของที่มีค่าอื่นๆ ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีผู้สนใจหนังสือหายากหรือหนังสือเก่าเป็นจำนวนมากหนังสือราชกิจจานุเบกษา เป็นสิ่งพิมพ์ของรัฐบาลประเภทวารสารฉบับแรกของไทย พิมพ์เผยแพร่แก่บรรดาข้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๐๑ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และได้มีการหยุดพิมพ์ไปในช่วงเวลาหนึ่งแต่ก็กลับมาพิมพ์เผยแพร่ต่อเนื่องในเวลาต่อมา จนถึงทุกวันนี้ นับเป็นสิ่งพิมพ์ของไทยที่มีอายุยาวนานที่สุดหนังสือราชกิจจานุเบกษา เป็นเอกสารสำคัญยิ่งของบ้านเมืองในทางประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และอักษรศาสตร์ และยังเป็นเอกสารอ้างอิงที่สำคัญของทางราชการ และประชาชนในปัจจุบันสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดพิมพ์โดยแบ่งหนังสือราชกิจจานุเบกษาออกเป็น ๔ ประเภท คือประเภท ก ฉบับกฤษฎีกา ลงประกาศเกี่ยวกับกฎหมายประเภท ข ฉบับทะเบียนฐานันดร ลงประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญราชการและยศประเภท ค ฉบับทะเบียนการค้า ประกาศเกี่ยวกับการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทประเภท ง ฉบับประกาศทั่วไป เป็นประกาศเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุในประเภท ก - คหนังสือราชกิจจานุเบกษา ทั้ง ๔ ประเภท จะมีกำหนดออกฉบับปกติต่างกันและจะออกตอนพิเศษสำหรับเรื่องที่มีความจำเป็นและความเร่งด่วนด้วยหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ จะออกในวาระที่มีเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง เช่น ราชกิจจานุเบกษา ฉบับจดหมายเหตุงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี (พ.ศ.๒๕๒๕) ราชกิจจานุเบกษา ฉบับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ฯลฯราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษดังกล่าว ในปัจจุบันกรมศิลปากร โดยกองจดหมายเหตุแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่รวบรวมเรียบเรียงแล้วมอบต้นฉบับให้สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์เผยแพร่ผู้สนใจหนังสือราชกิจจานุเบกษาบอกรับเป็นสมาชิก หรือซื้อได้ที่สำนักเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี (ในบริเวณโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเดิม ถนนราชดำเนิน ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ หรือหาอ่านได้ที่ หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากรหนังสือราชกิจจานุเบกษาเป็นเอกสารอ้างอิงที่สำคัญ และเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อประกอบในการยื่นคำร้องของสิทธิบางอย่างของทางราชการ ดังกล่าวข้างต้น หอสมุดแห่งชาติได้ตระหนักถึงหน้าที่ในการเก็บรักษา อนุรักษ์ และการให้บริการ จึงได้เก็บรวบรวมและรักษาราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่เล่มแรกจนถึงปัจจุบัน และให้บริการดังนี้- ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๐๑ และฉบับพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ - ๒๔๕๙ ให้บริการการอ่านจากไมโครฟิล์ม- ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๖๐ - ปัจจุบัน ให้บริการจากรูปเล่มหนังสือโดยตรง
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
บทที่ 2 การสร้างตาราง (Table)
ตอนที่1
1.ข้อใดกล่าวถึงความหมายของตาราง(table)ไดชัดเจนที่สุด
ตอบ ค. ออบเจ็กต์ที่อยู่ในฐานข้อมูล
2.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวผิด
ตอบ ง. Attachmentเป็นชนิดข้อมูลสำหรับสร้างจุงเชื่อมโยง
3.ฟิลด์(Field)หมายถึงอะไร
ตอบ ค.คอลัมน์
4.เรคคอร์ด(Record)หมายถึงอะไร
ตอบ ก.ตาราง
5.ชนิดข้อมูลแบบข้อความ(Text)สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุดกี่ตัวอักษร
ตอบ ค.255
6.ถ้าต้องการกำหนดฟิลด์ในการเก็บข้อความจำนวนมากๆจะต้องเลือกชนิดข้อมูลแบบใด
ตอบ ข.Text
7.มุมมองที่ใช้ในการสร้างตารางด้วยการออกแบบเองคือมุมมองแบบใด
ตอบ ก.Design View
8.ชนิดความสัมพันธ์ของตารางมีกี่แบบ
ตอบ ข.3แบบ
9.ข้อใดต่อไปนี้ไม่สามารถนำมาประกอบในการตั้งฟิลด์ข้อมูลได้
ตอบ ง.เครื่องหมายจุด(.)
10.ถ้าต้องการเรียงลำดับข้อมูลในตารางจากน้อยไปหามากจะต้องใช้เครื่องมือใด
ตอบ ก.Ascending
ตอนที่2
1. ฌ Field ข้อมูลในแนวคอลัมน์
2. ง Record ข้อมูลในแนวแถว
3. จ Memo เก็บข้อมูลประเภทข้อความที่มีความยาวมากๆ
4. ข OLE Object เก็บข้อมูลประเภทรูปภาพ
5. ซ Currency เก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน
6. ญ Attachment เก็บเอกสารและแฟ้มไบนารี่ทุกชนิดในฐานข้อมูล
7. ก Input Mask กำหนดรูปแบบในการป้อนข้อมูล
8. ฉ Format กำหนดรูปแบบการแสดงข้อมูล
9. ช Descending เรียงลำดับจากมากไปน้อย
10. ค Ascending เรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างตาราง
2.จงบอกถึงคุณสมบัติในการเลือกฟิลด์ข้อมูลที่นำมาเป็นคีย์หลัก(Primary Key)ฟิลด์ที่มีข้อมูลในเรคอร์ดไม่ซ้ำกัน
3.อธิบายถึงความแตกต่างในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบ(Table Design) และมุมมองแผ่นตารางข้อมูล(DataSheet View)Table Design เป็นมุมมองที่ใช้ในการกำหนดข้อมูลของตาราง ชนิดข้อมูล คุณสมบัติของฟิลด์แต่ละฟิลด์Datasheet Viewเป็นมุมมองที่ใช้ในการป้อนข้อมูลที่ต้องการเก็บลงในตาราง4.จงบอกขั้นตอนในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบมีขั้นตอนอย่างไร
1.คลิกที่แท็บ Create
2.เลือกปุ่มคำสั่ง (Table Design)ในกลุ่มของTableจากนั้นAccessจะเปิดตารางข้อมูลเปล่าในมุมมองการออกแบบขั้นมา
3.กำหนดฟิลด์ข้อมูล แล้วกดปุ่ม Tab เพื่อเลือกช่องถัดไป
4.เลือกชนิดข้อมูล
5.กำหนดคำอธิบายฟิลด์
6.กำหนดคุณสมบัติฟิลด์เพิ่มเติม
7.คลิกปุ่ม Save จาก Quick Access Toolbar
8.กำหนดชื่อตาราง
9.คลิกปุ่ม OK
10.จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ให้กำหนดคีย์หลัก
1.ข้อใดกล่าวถึงความหมายของตาราง(table)ไดชัดเจนที่สุด
ตอบ ค. ออบเจ็กต์ที่อยู่ในฐานข้อมูล
2.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวผิด
ตอบ ง. Attachmentเป็นชนิดข้อมูลสำหรับสร้างจุงเชื่อมโยง
3.ฟิลด์(Field)หมายถึงอะไร
ตอบ ค.คอลัมน์
4.เรคคอร์ด(Record)หมายถึงอะไร
ตอบ ก.ตาราง
5.ชนิดข้อมูลแบบข้อความ(Text)สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุดกี่ตัวอักษร
ตอบ ค.255
6.ถ้าต้องการกำหนดฟิลด์ในการเก็บข้อความจำนวนมากๆจะต้องเลือกชนิดข้อมูลแบบใด
ตอบ ข.Text
7.มุมมองที่ใช้ในการสร้างตารางด้วยการออกแบบเองคือมุมมองแบบใด
ตอบ ก.Design View
8.ชนิดความสัมพันธ์ของตารางมีกี่แบบ
ตอบ ข.3แบบ
9.ข้อใดต่อไปนี้ไม่สามารถนำมาประกอบในการตั้งฟิลด์ข้อมูลได้
ตอบ ง.เครื่องหมายจุด(.)
10.ถ้าต้องการเรียงลำดับข้อมูลในตารางจากน้อยไปหามากจะต้องใช้เครื่องมือใด
ตอบ ก.Ascending
ตอนที่2
1. ฌ Field ข้อมูลในแนวคอลัมน์
2. ง Record ข้อมูลในแนวแถว
3. จ Memo เก็บข้อมูลประเภทข้อความที่มีความยาวมากๆ
4. ข OLE Object เก็บข้อมูลประเภทรูปภาพ
5. ซ Currency เก็บข้อมูลที่เป็นตัวเลขทางการเงิน
6. ญ Attachment เก็บเอกสารและแฟ้มไบนารี่ทุกชนิดในฐานข้อมูล
7. ก Input Mask กำหนดรูปแบบในการป้อนข้อมูล
8. ฉ Format กำหนดรูปแบบการแสดงข้อมูล
9. ช Descending เรียงลำดับจากมากไปน้อย
10. ค Ascending เรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างตาราง
2.จงบอกถึงคุณสมบัติในการเลือกฟิลด์ข้อมูลที่นำมาเป็นคีย์หลัก(Primary Key)ฟิลด์ที่มีข้อมูลในเรคอร์ดไม่ซ้ำกัน
3.อธิบายถึงความแตกต่างในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบ(Table Design) และมุมมองแผ่นตารางข้อมูล(DataSheet View)Table Design เป็นมุมมองที่ใช้ในการกำหนดข้อมูลของตาราง ชนิดข้อมูล คุณสมบัติของฟิลด์แต่ละฟิลด์Datasheet Viewเป็นมุมมองที่ใช้ในการป้อนข้อมูลที่ต้องการเก็บลงในตาราง4.จงบอกขั้นตอนในการสร้างตารางด้วยมุมมองการออกแบบมีขั้นตอนอย่างไร
1.คลิกที่แท็บ Create
2.เลือกปุ่มคำสั่ง (Table Design)ในกลุ่มของTableจากนั้นAccessจะเปิดตารางข้อมูลเปล่าในมุมมองการออกแบบขั้นมา
3.กำหนดฟิลด์ข้อมูล แล้วกดปุ่ม Tab เพื่อเลือกช่องถัดไป
4.เลือกชนิดข้อมูล
5.กำหนดคำอธิบายฟิลด์
6.กำหนดคุณสมบัติฟิลด์เพิ่มเติม
7.คลิกปุ่ม Save จาก Quick Access Toolbar
8.กำหนดชื่อตาราง
9.คลิกปุ่ม OK
10.จะปรากฏไดอะล็อกบ็อกซ์ให้กำหนดคีย์หลัก
บทที่ 1 เราองความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Aeccss 2007
แบบฝึกหัด
บทที่ 1
ตอนที่ 1
1.ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไร
ตอบ ข.ตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล
2.หลังจากที่สร้างฐานข้อมูลแล้ว จะต้องสร้างออบเจ็กอะไรเป็นอันดับแรก
ตอบ ก.Table
3.ออบเจ็กต์ใดทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลทั้งหมดลงฐานข้อมูล
ตอบ ก.Table
4.ออบเจ็กต์ Query มีหน้าที่อะไร
ตอบ ค.สร้างเเบบสอบถามข้อมูล
5.ข้อใดต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของออบเจ็ก form
ตอบ ข.เก็บข้อมูลลงฐานข้อมูล
6.ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ กฎของการ normalizatioh
ตอบ ข.จะต้องมีความสัมพันธ์เเบบเชิงกลุ่ม(Many-to-Many)
7.ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ที่ได้รับของระบบฐานข้อมูล
ตอบ ค.ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย
8.ขั้นตอนใดต่อไปนี้เป็นขั้นตอนแรกในการออกแบบฐานข้อมูล
ตอบ ก.กำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
9.ส่วนประกอบต่อไปนี้เพิ่มเข้ามาใหม่ใน Access 2007 ยกเว้นข้อใด
ตอบ ง.Ribbon
10.ข้อใดต่อไปนี้ กล่าวผิด
ตอบ ก.เมื่อบันทึกฐานข้อมูลในAccess2007จะมีนามสกุลเป็น .accdb
ตอนที่ 2
1. ช DBMS=ระบบจัดการฐานข้อมูล
2. จ Normalization=กฏที่ใช้ในการออกแบบตาราง
3. ซ Office Button=ปุ่มที่รวบรวมชุดคำสั่งในการจัดการฐานข้อมูล
4. ญ Quick Access Toolbar=แถบเครื่องมือที่รวบรวมปุ่มเครื่องมือที่ใช้งานบ่อยๆเอาไว้
5. ฌ Ribbon=ส่วนในการทำงานใหม่ที่เข้ามาแทนที่แถบเมนูและแถบเครื่องมือ
6. ก Navigation Pane=แถบในการแสดงออบเจ็กต์ที่สร้างขึ้น
7. ค Document Window=ส่วนของพื้นที่ในการทำงานของออบเจ็กต์ต่างๆ
8. ข Query=แบบสอบถามข้อมูล
9. ง Mecro=ชุดคำสั่งกระทำต่างๆที่นำมารวมกัน
10.ฉ Module=โปรแกรมย่อยที่เขียนขึ้นด้วยภาษา VBA
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงความหมายของฐานข้อมูล
ตอบ ฐานข้อมูล(Database)คือข้อมูลจำนวนมากที่มีการจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบในลักษณะของตาราง ข้อมูลแต่ละตารางที่มีอยู่นั้นมีความสัมพันธ์กัน
2.ระบบฐานข้อมูลมีประโยชน์อย่างไร
ตอบ 1.ลดความซับซ้อนของข้อมูล2.ทำให้เกิดความสอดคล้องของข้อมูล3.ควบคุมความถูกต้องของข้อมูล4.สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้5.มีความปลอดภัย
3.ใน Microsoft Access 2007 ประกอบไปด้วยออบเจ็กต์อะไรบ้าง และมีหน้าที่อย่างไร
ตอบ 1.Table ใช้ในการเก็บข้อมูลทั้งหมด2.Queries ช่วยค้นหาหรือสร้างแบบสอบถามข้อมูล3.Froms แบบฟอร์มในการทำงาน สำหรับจัดการกับข้อมูลแทนการจัดการในตาราง4.Report ใช้ในการสร้างรายงาน5.Macros ชุดคำสั่งที่นำมาร่วมกันตามขั้นตอนในการทำงานเพื่อให้การทำงานเป็นอัตโนมัติ6.Modules ช่วยให้ทำงานกับข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
4.จงอธิบายหลักการออกแบบฐานข้อมูลมาพอเข้าใจ
ตอบ ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ว่าต้องใช้ข้อมูลเรื่องใด ใช้เพื่อทำอะไร ต้องการอะไร สอบถามความต้องการจากผู้ใช้ วิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นจัดเป็นกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลแต่ละตาราง วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูล กำหนดชนิดข้อมูล กำหนดความสัมพันธ์
5.จงยกตัวอย่างระบบงานที่ควรนำระบบฐานข้อมูลมาใช้พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล
ตอบ งานทะเบียน เพราะว่าเป็นงานที่ทำเกี่ยวกับประวัติของพนักงานหรือนักเรียนทั้งหมด ซึ่งมีข้อมูลต่างๆหลายอย่าง
บทที่ 1
ตอนที่ 1
1.ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไร
ตอบ ข.ตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล
2.หลังจากที่สร้างฐานข้อมูลแล้ว จะต้องสร้างออบเจ็กอะไรเป็นอันดับแรก
ตอบ ก.Table
3.ออบเจ็กต์ใดทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลทั้งหมดลงฐานข้อมูล
ตอบ ก.Table
4.ออบเจ็กต์ Query มีหน้าที่อะไร
ตอบ ค.สร้างเเบบสอบถามข้อมูล
5.ข้อใดต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของออบเจ็ก form
ตอบ ข.เก็บข้อมูลลงฐานข้อมูล
6.ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ กฎของการ normalizatioh
ตอบ ข.จะต้องมีความสัมพันธ์เเบบเชิงกลุ่ม(Many-to-Many)
7.ข้อใด ไม่ใช่ ประโยชน์ที่ได้รับของระบบฐานข้อมูล
ตอบ ค.ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย
8.ขั้นตอนใดต่อไปนี้เป็นขั้นตอนแรกในการออกแบบฐานข้อมูล
ตอบ ก.กำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
9.ส่วนประกอบต่อไปนี้เพิ่มเข้ามาใหม่ใน Access 2007 ยกเว้นข้อใด
ตอบ ง.Ribbon
10.ข้อใดต่อไปนี้ กล่าวผิด
ตอบ ก.เมื่อบันทึกฐานข้อมูลในAccess2007จะมีนามสกุลเป็น .accdb
ตอนที่ 2
1. ช DBMS=ระบบจัดการฐานข้อมูล
2. จ Normalization=กฏที่ใช้ในการออกแบบตาราง
3. ซ Office Button=ปุ่มที่รวบรวมชุดคำสั่งในการจัดการฐานข้อมูล
4. ญ Quick Access Toolbar=แถบเครื่องมือที่รวบรวมปุ่มเครื่องมือที่ใช้งานบ่อยๆเอาไว้
5. ฌ Ribbon=ส่วนในการทำงานใหม่ที่เข้ามาแทนที่แถบเมนูและแถบเครื่องมือ
6. ก Navigation Pane=แถบในการแสดงออบเจ็กต์ที่สร้างขึ้น
7. ค Document Window=ส่วนของพื้นที่ในการทำงานของออบเจ็กต์ต่างๆ
8. ข Query=แบบสอบถามข้อมูล
9. ง Mecro=ชุดคำสั่งกระทำต่างๆที่นำมารวมกัน
10.ฉ Module=โปรแกรมย่อยที่เขียนขึ้นด้วยภาษา VBA
ตอนที่3
1.จงอธิบายถึงความหมายของฐานข้อมูล
ตอบ ฐานข้อมูล(Database)คือข้อมูลจำนวนมากที่มีการจัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบในลักษณะของตาราง ข้อมูลแต่ละตารางที่มีอยู่นั้นมีความสัมพันธ์กัน
2.ระบบฐานข้อมูลมีประโยชน์อย่างไร
ตอบ 1.ลดความซับซ้อนของข้อมูล2.ทำให้เกิดความสอดคล้องของข้อมูล3.ควบคุมความถูกต้องของข้อมูล4.สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้5.มีความปลอดภัย
3.ใน Microsoft Access 2007 ประกอบไปด้วยออบเจ็กต์อะไรบ้าง และมีหน้าที่อย่างไร
ตอบ 1.Table ใช้ในการเก็บข้อมูลทั้งหมด2.Queries ช่วยค้นหาหรือสร้างแบบสอบถามข้อมูล3.Froms แบบฟอร์มในการทำงาน สำหรับจัดการกับข้อมูลแทนการจัดการในตาราง4.Report ใช้ในการสร้างรายงาน5.Macros ชุดคำสั่งที่นำมาร่วมกันตามขั้นตอนในการทำงานเพื่อให้การทำงานเป็นอัตโนมัติ6.Modules ช่วยให้ทำงานกับข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้นได้
4.จงอธิบายหลักการออกแบบฐานข้อมูลมาพอเข้าใจ
ตอบ ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ว่าต้องใช้ข้อมูลเรื่องใด ใช้เพื่อทำอะไร ต้องการอะไร สอบถามความต้องการจากผู้ใช้ วิเคราะห์ข้อมูลที่จำเป็นจัดเป็นกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลแต่ละตาราง วิเคราะห์โครงสร้างข้อมูล กำหนดชนิดข้อมูล กำหนดความสัมพันธ์
5.จงยกตัวอย่างระบบงานที่ควรนำระบบฐานข้อมูลมาใช้พร้อมทั้งอธิบายเหตุผล
ตอบ งานทะเบียน เพราะว่าเป็นงานที่ทำเกี่ยวกับประวัติของพนักงานหรือนักเรียนทั้งหมด ซึ่งมีข้อมูลต่างๆหลายอย่าง
บทที่ 6 การใช้อินเตอร์เน็ต
1.ความหมายของอินเตอร์เน็ตอินเทอร์เน็ตคือ เครือข่ายนานาชาติที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มารวมเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งโลก โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่ายภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกัน คือ TCP/IPเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเตอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้
2.ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ตเครือข่ายอาร์พาเน็ตเป็นเครือข่ายทางการทหาร สังกัดกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 2512 ใช้งานวิจัยด้านทหารติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ต่อมามหาลัยวิทยาลัยต่าง ๆ สนใจและขอร่วมโครงการทำให้เครือข่ายอาร์พาเน็ตมีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารเครือข่าย ดัวนั้นทางการทหารจึงขอแยกตัวออกเป็นเครือข่ายเฉพาะของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต และมีการติดต่อกับเครือข่ายอาร์พาเน็ตเดิมด้วยเทคนิคการโต้ตอบ หรือโปรโตคอล แบบพิเศษที่เรียกว่า ทีซีพี/ไอพีเป็นครั้งแรกจนกระทั้งปี 2533 ยุติเครือข่ายอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายอื่น ๆ แทน และได้มีการเชื่อมต่อเครือข่ายอื่น จนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ จนถึงทุกวันนี้และเรียกเครือข่ายนี้ว่า “อินเตอร์เน็ต”
3.ISP (Internet Service Provider)ISP หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ย่อมาจาก Internet Service Provider เป็นหน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำหน้าที่เปิดการเชื่อมต่อให้บริการบุคคลหรือองค์กร สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ สำหรับประเทศไทยมีหน่วยงานที่ให้บริการด้านนี้อยู่ 2 ประเภท คือ ผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ และผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษาการวิจัยและหน่วยงานของรัฐISP ประเภทนี้ให้บริการในเชิงพาณิชย์ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตจะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ISP รายนั้น ๆ ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ต อัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่ที่ ISP แต่ละราย ข้อดีสำหรับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ก็คือ การให้บริการที่มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรับรองกับความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกัน มีทั้งรูปแบบส่วนบุคคลซึ่งจะให้บริการกับประชาชนทั่วไปที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตและบริการในรูปแบบขององค์กร หรือบริษัทสามารถเลือกรับบริการได้ 2 วิธี คือ ซื้อชุดอินเทอร์เน็ตสำเร็จรูปตามร้านค้าทั่วไปมาใช้และสมัครเป็นสมาชิกรายเดือนISP ประเภทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษา การวิจัยและหน่วยงานของรัฐ เช่น เครือข่ายไทยสาร เครือข่ายคนไทย เป็นต้น
4.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
1.การเชื่อมต่อโดยหมุนโมเด็ม ผ่านสายโทรศัพท์ หรือหากใช้โทรศัพท์แบบ ISDN ต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN โดยเฉพาะด้วยหรือการต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เรียกว่า ADSL หรือบรอดแบนด์ ต้องมีโมเด็มแบบธรรมดา แต่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษที่ชุดสายด้วยจึงจะใช้งานได้การเชื่อมต่อโดยหมุนโมเด็ม สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีได้แก่-สมัครสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ISP เสียก่อน สิ่งที่ได้คือ ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน-สายโทรศัพท์-โมเด็ม มีแบบ Internal Modem และ External Modem
2.การเชื่อมต่อแบบระบบ LAN หรือการเชื่อมต่อเครือข่ายภายในองค์กร หากหน่วยงานมีบริการแบบ DHCP ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งหมายเลข IP Address สามารถใช้งานได้เลย หากจำเป็นต้องขอหมายเลข IP จากหน่วยงานผู้ให้บริการก็สามารถติดตั้งได้ดังนี้
1.คลิกขวาที่ไอคอน My Network Places ปรากฏเมนู
2.คลิกที่ Properties
3.คลิกขวาที่ไอคอน Local Area Connection แล้วคลิก Properties
4.คลิกขวาที่ Internet Protocol(TCP/IP)
5.คลิกที่ Properties
6.ระบุหมายเลข IP Address
7.คลิกปุ่ม OK
5.ศัพท์ที่สำคัญในอินเทอร์เน็ต
1.โปรโตคอล เป็นข้อตกลงที่ทุกเครื่อง ทุกโปรแกรมต้องรู้และทำตามเป็นแบบหรือมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เช่น TCP/IP เป็นกติกาหลักในการรับข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ข้อมูลทุกรูปแบบไม่ว่าจากโปรแกรมใดก็ต้องแปลงให้อยู่ในมาตรฐานของ TCP/IP เสียก่อนจึงจะรับส่งได้ กติกานี้กำหนดวิธี ขั้นตอนในการรับส่งข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องอย่างรัดกุม ส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้คือการเรียกชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งทางเทคนิคเรียกว่า ที่อยู่หรือ IP Address เป็นต้น ตัวเลข 4 ชุด แต่ละชุดมีค่าระหว่าง 0-255 คั่นด้วยจุด เช่น 202.172.132.1 เป็นต้น ซึ่งจะต้องตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ได้นับล้านโดยไม่ซ้ำกัน
2.ชื่อโดเมนเนม การนำชื่อโดเมนมาใช้แทน IP Address ทำให้จดจำชื่อโดเมนได้ง่ายขึ้นกว่าการจำ IP Address ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ ของ www.CNN.comInternet Address คือ IP Address ที่อยู่ในรูปแบบของตัวอักษร โดยตัวย่อของ Internet Address จะมีความแตกต่างตามหน่วยงานที่ดูแลการจดชื่อโดเมน สำหรับประเทศไทย มี7 ประเภทด้วยกันคือ.net.th สำหรับหน่วยงานของไทยที่ให้บริการเครือข่าย.co.th สำหรับองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนในไทย.or.th สำหรับองค์กรของไทยที่ไม่แสวงหากำไร.ac.th สำหรับหน่วยงานสถาบันการศึกษาของไทย.mi.th สำหรับหน่วยงานทางการทหารของไทย.in.th สำหรับองค์กรหรือบุคคลทั่วไปของไทย
3.เวิลด์ไวด์เว็บ หรือเว็บเพจ คือบริการฐานที่ใช้กันมากที่สุดเป็นรูปแบบของเอกสารที่ดูในคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้โปรแกรมเว็บเบราเชอร์
4.เว็บเซิร์ฟเวอร์ หมายถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการเว็บไซต์ ผู้เรียกชมหน้าเว็บไซต์ได้โดยใช้โปรโตคอล HTTP ผ่านทางเว็บเบราเชอร์
5.โปรโตคอลของเว็บ เป็นกติกาที่ใช้เรียกดูข้อมูลจากเว็บซึ่งเรียกใช้ได้โดยระบุคำว่า http:// ถ้าไม่ใส่โปรแกรมเว็บเบราเชอร์จะเปิดให้อัตโนมัติ ส่วนการรับส่งไฟล์ด้วย FTP://แทนเพราะว่าเป็นการส่งให้อีกเครื่องหนึ่งส่งไฟล์มาโดยตรง
6.เว็บเพจ คือหน้าหนึ่ง ๆ ของเว็บไซต์ที่เปิดขึ้นมาใช้งาน
7.เว็บไซต์ คือหน้าเว็บเพจหลาย ๆ หน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงค์
8.โฮมเพจ คือเว็บเพจหน้าแรกที่ปรากฏของแต่ละเว็บไซต์ หรือหน้าแรกที่ปรากฏขึ้นเมื่อเปิดโปรแกรมเว็บเบราเชอร์
9.ภาษาของเว็บ เป็นภาษาที่ใข้ในการจัดหน้าเว็บเพจ มีชื่อไฟล์เว็บเพจส่วนขยายเป็น .htm หรือ .html
10.ยูอาร์แอล คือการอ้างอิงตำแหน่งที่ตั้งของไฟล์บนอินเตอร์เน็ต
6.การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต
1.ด้านการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากห้องสมุดออนไลน์ ศึกษาบทเรียนวิชาต่าง ๆ ฝึกทำข้อสอบ เกมการศึกษาสำหรับเด็ก และบริการข้อมูลข่าวสาร ต่าง ๆ
2.ด้านธุรกิจปัจจุบันได้มีธุรกิจการค้าเกิดขึ้นมากมายในรูปแบบต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า E-Commerce มีทั้งโฆษณาแบะการให้บริการสินค้า ซึ่งค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการโฆษณาด้วยสื่อ อื่น ๆ ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วยวิธีการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ต่าง ๆ แบะยังสามารถหางานและสมัครงานผ่านระบบนี้ได้อีกด้วย
3.ด้านการสื่อสาร ใช้สำหรับรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือสามารถพูดคุยกับเพื่อนได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ทางไกล โดยใช้โปรแกรมสนทนา หรือโปรแกรมต่าง ๆ เช่น MSN, Skype, Net2Phone , Cattelecom เป็นต้น
4.ด้านการบันเทิง ข้อมูลข่าวสารมีอยู่มากมาย เช่น ดูภาพยนตร์ ทีวี ฟังเพลง เล่รเกมออนไลน์ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
7.อีเมล์และการรับส่งอีเมล์อีเมล์ คือกล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้ใช้บริการสามารถรับและส่งอีเมล์ฝยอินเตอร์เน็ต เพื่อประโยชน์ด้านการสื่อสารโปรแกรมที่ใช้รับส่งอีเมล์จะรับส่งผ่านเครื่องที่ให้บริการรับส่งเมล์ จะเรียกว่า “เมล์เซิร์ฟเวอร์” ปัจจุบันบริการอีเมล์ผ่าน Web-Based Mail ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงมีหลายบริษัทเปิดให้บริการฟรีอีเมล์ เช่น Hotmail.com , Yahoo.com , thaimail.com , Gmail.com , Chaiyo.com thaiall.com เป็นต้น
2.ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ตเครือข่ายอาร์พาเน็ตเป็นเครือข่ายทางการทหาร สังกัดกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 2512 ใช้งานวิจัยด้านทหารติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ต่อมามหาลัยวิทยาลัยต่าง ๆ สนใจและขอร่วมโครงการทำให้เครือข่ายอาร์พาเน็ตมีขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารเครือข่าย ดัวนั้นทางการทหารจึงขอแยกตัวออกเป็นเครือข่ายเฉพาะของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต และมีการติดต่อกับเครือข่ายอาร์พาเน็ตเดิมด้วยเทคนิคการโต้ตอบ หรือโปรโตคอล แบบพิเศษที่เรียกว่า ทีซีพี/ไอพีเป็นครั้งแรกจนกระทั้งปี 2533 ยุติเครือข่ายอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายอื่น ๆ แทน และได้มีการเชื่อมต่อเครือข่ายอื่น จนเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ จนถึงทุกวันนี้และเรียกเครือข่ายนี้ว่า “อินเตอร์เน็ต”
3.ISP (Internet Service Provider)ISP หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ย่อมาจาก Internet Service Provider เป็นหน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำหน้าที่เปิดการเชื่อมต่อให้บริการบุคคลหรือองค์กร สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ สำหรับประเทศไทยมีหน่วยงานที่ให้บริการด้านนี้อยู่ 2 ประเภท คือ ผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ และผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษาการวิจัยและหน่วยงานของรัฐISP ประเภทนี้ให้บริการในเชิงพาณิชย์ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตจะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ISP รายนั้น ๆ ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ต อัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่ที่ ISP แต่ละราย ข้อดีสำหรับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ก็คือ การให้บริการที่มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรับรองกับความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกัน มีทั้งรูปแบบส่วนบุคคลซึ่งจะให้บริการกับประชาชนทั่วไปที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตและบริการในรูปแบบขององค์กร หรือบริษัทสามารถเลือกรับบริการได้ 2 วิธี คือ ซื้อชุดอินเทอร์เน็ตสำเร็จรูปตามร้านค้าทั่วไปมาใช้และสมัครเป็นสมาชิกรายเดือนISP ประเภทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษา การวิจัยและหน่วยงานของรัฐ เช่น เครือข่ายไทยสาร เครือข่ายคนไทย เป็นต้น
4.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
1.การเชื่อมต่อโดยหมุนโมเด็ม ผ่านสายโทรศัพท์ หรือหากใช้โทรศัพท์แบบ ISDN ต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN โดยเฉพาะด้วยหรือการต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เรียกว่า ADSL หรือบรอดแบนด์ ต้องมีโมเด็มแบบธรรมดา แต่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษที่ชุดสายด้วยจึงจะใช้งานได้การเชื่อมต่อโดยหมุนโมเด็ม สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีได้แก่-สมัครสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ISP เสียก่อน สิ่งที่ได้คือ ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน-สายโทรศัพท์-โมเด็ม มีแบบ Internal Modem และ External Modem
2.การเชื่อมต่อแบบระบบ LAN หรือการเชื่อมต่อเครือข่ายภายในองค์กร หากหน่วยงานมีบริการแบบ DHCP ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งหมายเลข IP Address สามารถใช้งานได้เลย หากจำเป็นต้องขอหมายเลข IP จากหน่วยงานผู้ให้บริการก็สามารถติดตั้งได้ดังนี้
1.คลิกขวาที่ไอคอน My Network Places ปรากฏเมนู
2.คลิกที่ Properties
3.คลิกขวาที่ไอคอน Local Area Connection แล้วคลิก Properties
4.คลิกขวาที่ Internet Protocol(TCP/IP)
5.คลิกที่ Properties
6.ระบุหมายเลข IP Address
7.คลิกปุ่ม OK
5.ศัพท์ที่สำคัญในอินเทอร์เน็ต
1.โปรโตคอล เป็นข้อตกลงที่ทุกเครื่อง ทุกโปรแกรมต้องรู้และทำตามเป็นแบบหรือมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เช่น TCP/IP เป็นกติกาหลักในการรับข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ข้อมูลทุกรูปแบบไม่ว่าจากโปรแกรมใดก็ต้องแปลงให้อยู่ในมาตรฐานของ TCP/IP เสียก่อนจึงจะรับส่งได้ กติกานี้กำหนดวิธี ขั้นตอนในการรับส่งข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องอย่างรัดกุม ส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้คือการเรียกชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งทางเทคนิคเรียกว่า ที่อยู่หรือ IP Address เป็นต้น ตัวเลข 4 ชุด แต่ละชุดมีค่าระหว่าง 0-255 คั่นด้วยจุด เช่น 202.172.132.1 เป็นต้น ซึ่งจะต้องตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ได้นับล้านโดยไม่ซ้ำกัน
2.ชื่อโดเมนเนม การนำชื่อโดเมนมาใช้แทน IP Address ทำให้จดจำชื่อโดเมนได้ง่ายขึ้นกว่าการจำ IP Address ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ ของ www.CNN.comInternet Address คือ IP Address ที่อยู่ในรูปแบบของตัวอักษร โดยตัวย่อของ Internet Address จะมีความแตกต่างตามหน่วยงานที่ดูแลการจดชื่อโดเมน สำหรับประเทศไทย มี7 ประเภทด้วยกันคือ.net.th สำหรับหน่วยงานของไทยที่ให้บริการเครือข่าย.co.th สำหรับองค์กรธุรกิจที่จดทะเบียนในไทย.or.th สำหรับองค์กรของไทยที่ไม่แสวงหากำไร.ac.th สำหรับหน่วยงานสถาบันการศึกษาของไทย.mi.th สำหรับหน่วยงานทางการทหารของไทย.in.th สำหรับองค์กรหรือบุคคลทั่วไปของไทย
3.เวิลด์ไวด์เว็บ หรือเว็บเพจ คือบริการฐานที่ใช้กันมากที่สุดเป็นรูปแบบของเอกสารที่ดูในคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้โปรแกรมเว็บเบราเชอร์
4.เว็บเซิร์ฟเวอร์ หมายถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการเว็บไซต์ ผู้เรียกชมหน้าเว็บไซต์ได้โดยใช้โปรโตคอล HTTP ผ่านทางเว็บเบราเชอร์
5.โปรโตคอลของเว็บ เป็นกติกาที่ใช้เรียกดูข้อมูลจากเว็บซึ่งเรียกใช้ได้โดยระบุคำว่า http:// ถ้าไม่ใส่โปรแกรมเว็บเบราเชอร์จะเปิดให้อัตโนมัติ ส่วนการรับส่งไฟล์ด้วย FTP://แทนเพราะว่าเป็นการส่งให้อีกเครื่องหนึ่งส่งไฟล์มาโดยตรง
6.เว็บเพจ คือหน้าหนึ่ง ๆ ของเว็บไซต์ที่เปิดขึ้นมาใช้งาน
7.เว็บไซต์ คือหน้าเว็บเพจหลาย ๆ หน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงค์
8.โฮมเพจ คือเว็บเพจหน้าแรกที่ปรากฏของแต่ละเว็บไซต์ หรือหน้าแรกที่ปรากฏขึ้นเมื่อเปิดโปรแกรมเว็บเบราเชอร์
9.ภาษาของเว็บ เป็นภาษาที่ใข้ในการจัดหน้าเว็บเพจ มีชื่อไฟล์เว็บเพจส่วนขยายเป็น .htm หรือ .html
10.ยูอาร์แอล คือการอ้างอิงตำแหน่งที่ตั้งของไฟล์บนอินเตอร์เน็ต
6.การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต
1.ด้านการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากห้องสมุดออนไลน์ ศึกษาบทเรียนวิชาต่าง ๆ ฝึกทำข้อสอบ เกมการศึกษาสำหรับเด็ก และบริการข้อมูลข่าวสาร ต่าง ๆ
2.ด้านธุรกิจปัจจุบันได้มีธุรกิจการค้าเกิดขึ้นมากมายในรูปแบบต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า E-Commerce มีทั้งโฆษณาแบะการให้บริการสินค้า ซึ่งค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการโฆษณาด้วยสื่อ อื่น ๆ ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วยวิธีการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ต่าง ๆ แบะยังสามารถหางานและสมัครงานผ่านระบบนี้ได้อีกด้วย
3.ด้านการสื่อสาร ใช้สำหรับรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือสามารถพูดคุยกับเพื่อนได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ทางไกล โดยใช้โปรแกรมสนทนา หรือโปรแกรมต่าง ๆ เช่น MSN, Skype, Net2Phone , Cattelecom เป็นต้น
4.ด้านการบันเทิง ข้อมูลข่าวสารมีอยู่มากมาย เช่น ดูภาพยนตร์ ทีวี ฟังเพลง เล่รเกมออนไลน์ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
7.อีเมล์และการรับส่งอีเมล์อีเมล์ คือกล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้ใช้บริการสามารถรับและส่งอีเมล์ฝยอินเตอร์เน็ต เพื่อประโยชน์ด้านการสื่อสารโปรแกรมที่ใช้รับส่งอีเมล์จะรับส่งผ่านเครื่องที่ให้บริการรับส่งเมล์ จะเรียกว่า “เมล์เซิร์ฟเวอร์” ปัจจุบันบริการอีเมล์ผ่าน Web-Based Mail ได้รับความนิยมอย่างมาก จึงมีหลายบริษัทเปิดให้บริการฟรีอีเมล์ เช่น Hotmail.com , Yahoo.com , thaimail.com , Gmail.com , Chaiyo.com thaiall.com เป็นต้น
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552
บทที่ 5 ระบบเครือข่ายเบื้องต้น
1. ความหมายของระบบเครือข่ายระบบเครือข่าย/คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก/ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์(Compiter Network) คือระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องการนำเอาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้งาน สามารถเเบ่งวัตถุประสงค์ได้ดังนี้
1.ใช้ทรัพยากรร่วมกัน คือเพื่อใช้อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์
2.ใช้ข้อมูลในไฟล์ร่วมกัน คือข้อมูลชุดเดียวกันสามารถเรียกใช้ได้จากหลาย ๆ เครื่อง
3.ความสะดวกในการดูเเลระบบ คือทำให้สามารถดูเเละบริหารระบบได้จากที่เดียวประเภทของเครือข่าย สามารถเเบ่งได้กว้าง ๆ เป็น 2 ลักษณะ คือ
1.LAN อ่านว่า เเลน เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระบบจำกัด
2.WAN อ่านว่า เเวน เป็นการเชื่อมต่อเเลนในที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกันในระยะจำกัดข้อจำกัดของระบบเครือข่ายการนำระบบเครือข่ายมาใช้งาน ผู้ว่างระบบจะต้องคิดให้รอบคอบว่าการต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายนั้น จพทำได้ตามความต้องการหรือไม่ เเละมีขีดจำกัดอย่างไร ข้อจำกัดของระบบเครือข่ายมีหลายอย่าง ดังนี้
1.การเรียกใช้ข้อมูลทำได้ช้า
2.ข้อมูลไม่สามารถใช้ได้ทันที
3.ยากต่อการควบคุมดูเเล
2.องค์ประกอบของระบบเครือข่ายองค์ประกอบของระบบเครือข่ายโดยทั่ว ๆไป จะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
2.1อุปกรณ์ฮาร์ดเเวร์ (Natware) คือ อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อเข้าเป็นระบบเครือข่าย เช่น
1.การ์ดเเลน (Networt Interface Cart:NIC)เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสาย Lan
2.ฮับ/สวิตซ์(Hub/Switch)เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการต่อระบบเครือข่าย
2.2ซอฟต์เเวร์ (softwar)คือโปรเเกรมต่าง ๆ ตั่งเเต่โปรเเกรมที่เป็นไดรเวอร์ควบคุมการ์ดเเลน
2.3สื่อกลางนำข้อมูล (Media) สื่อกลางนำข้อมูลในระบบเครือข่าย เริ่มตั่งเเต่สายเคเบิลต่างๆสายเคเบิล ที่นิยมใช้กันมีหลายประเภท คือ
1.สายโคเเอกเชี่ยม เป็นสายเส้นเดี่ยวเเบบที่มีเปลือกเป็นสายโลหะถัก
2.สายUTP เป็นสายขนาดเล็กคล้ายสายโทรศัพท์มี8เส้น ตีเกลียวเป็นคู่ๆ
3.สายSTP เป็นสายคู่เล็กๆ ตีเกรียวไขว้กันเบบสาย UTP เเต่มีฉนวนหรือเปลือกหุ้มที่เป็นโลหะถักเพื่อป้องกันสัญญาณระกวน
4.สายใยเเก้วนำเเสง เป็นสายที่ใช้กับการสัญญาณด้วยเเสง
3.มาตรฐานของระบบเครือข่ายระบบLAN ที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะทางฮาร์ดแวร์ที่ยึดมาตรฐานของสถาบันวิศวกรรมและอิเล็กทรอนิกส์สหรัฐ ฯ หรือ IEEE โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ อีเทอร์เน็ต และ Token-Ringโดยมีเกณฑ์หรือโปรโตคอลแบบCSMA/CD ซึ่งเป็นชื่อมาตรฐานของ Ethernet นั้นจะแยกแยะได้ด้วยรหัสด้งนี้-ความเร็ว หมายถึง ตัวบอกว่าระบบนั้นทำความเร็วได้เท่าไร ปัจจุบันมีใช้กันคือ 10,100 หรือ 1000 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นค่าเลขนี้จะเป็นค่าสูงสุดที่ระบบ LAN นั้นทำได้ในกรณีที่ไม่มีอุปสรรคอื่นใดมาถ่วงให้ช้าลง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะได้ความเร็วต่ำกว่านี้มาก และการนำไปใช้เทียบเท่ากับค่าอื่น ๆวิธีการส่งสัญญาณ ปกติรหัสที่ใช้บอกการส่งสัญญาณทางไฟฟ้าบนระบบ Ethernet จะมี 2 ลักษณะคือ Baseband และ Broadband Baseband คือส่งเป็นสัญญาณแบบดิจิตอล 0 และ 1 หรือแรงดันไฟฟ้า 0 และ 5 โวลต์ โดยไม่มีการแสดงผสมสัญญาณกับความถี่สูงอื่นใด วิธีนี้การทำงานจะง่ายทั้งวงจรรับส่งข้อมูลแต่จะถูกรบกวนได้ง่ายและส่งได้ระยะทางไม่ไกล นอกจากนี้ในสายเส้นหนึ่ง ๆ ยังส่งสัญญาณแบบนี้ได้เพียงชุดเดียวเท่านั้นBroadband คือ การผสมสัญญาณข้อมูลที่จะส่งเข้ากับสัญญาณอนาล็อกหรือคลื่นพาหะที่มีความสูง เพื่อให้ส่งได้ไกลและมีความเพี้ยนน้อยกว่าแบบแรก นอกจากนี้ยังสามารถส่งได้หลายช่องทางสัญญาณหรือหลายแชนเนล โดยจัดการให้ข้อมูลชุดหนึ่งผสมกับสัญญาณที่ความถี่ช่วงหนึ่งนับเป็น 1 แชนเนล พอมีข้อมูลอีกชุดหนึ่งก็เลี่ยงไปใช้การผสมเข้ากับความถี่อื่น ๆที่ห่างออกไปมากพอที่จะไม่รบกวนกัน-สายที่ใช้ Ethernet แบบดังเดิมนั้นมีความเร็วเพียง 10 Mbps และมีการต่อสาย 3 แบบ ต่อมามีสายไฟเบอร์ออปติก เพิ่มขึ้นมาและสาย UTP ก็พัฒนาขึ้นจนทำความเร็วได้เป็น 1000 Mbps -Fast Ethernet และ Gigabit EthernetEhernet ในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มจาก 10 Mbps เป็น 100 และ 1,000 Mbps หรือมากกกว่านี้ ซึ่งสามารถใช้กับข้อมูลขนาดใหญ่หรือภาพนิ่ง หรือข้อมูลที่ต้องรับส่งให้ได้ตามเวลาจริง-Token-Ringเป็นระบบ LAN ต่อในแบบ Ring และใช้การควบคุมแบบ Token-passing ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม สายที่ใช้จะเป็นเคเบิลแบบพิเศษมี 2 คู่ ต่อเข้ากับ Hub ที่เรียกว่า MAU ซึ่ง 1 ตัวสามารถต่อได้ 8 เครื่อง และพ่วงระหว่าง MAU แต่ละตัวเข้าด้วยกันได้อีก เกิดเป็นลักษณะที่เห็นลกสายจาก MAU ไปยังแต่ละเครื่องเหมือนกับดาวกระจายหรือแบบ Star แต่ถ้าตรวจสอบสายจะเป็นแบบวงแหวน-FDDI เป็นมาตรฐานการต่อระบบเครือข่ายโดยอาศัยสาย Fiber Optic ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 100 Mbps กับ Fast Ethernet พื้นฐานลักษณะของ FDDI จะต่อเป็น Ring ที่มีสายสองชั้นเดินคู่ขนานกัน เพื่อสำรองในกรณีเกิดสายขาดขึ้น
4.ระบบเครือข่ายแบบไร้สายระบบเครือข่ายแบบไร้สายคือเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องของการไม่ต้องเดินสายเหมือนกับระบบ LAN แบบอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านที่ซึ่งไม่สะดวกในการเดินสาย และเป็นที่ไม่มีปัญหาเรื่องการรบกวนของสัญญาณวิทยุมากนักการทำงานของ Wireless LAN ทำงานโดนใช้คลื่นวิทยุรับส่งกันระหว่างอุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง กับจุดเข้าใช้เรียกว่า “Access Point” ซึ่งเป็นตัวกลางในติดต่อถึงกัน ระหว่างอุปกรณ์รับส่งแต่ละเครื่องความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ LAN แบบไร้สาย สิ่งที่ควรคำนึงถึงการใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลลูกส่งไปในอากาศ ซึ่งสามารถถูกดักจับได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการเข้ารหัสที่เรียกว่า WEP แต่ปัจจุบันกำลังถูกมองว่าวิธีนี้ยังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควรจึงมีกรออกแบบมาตรฐานใหม่คือ WPA ซึ่งปลอดภัยกว่าแต่จะใช้ได้กับอุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ เท่านั้นอุปกรณ์ในติดตั้งระบบ Wi-Fi1.Access Point สามารถกำหนดค่า IP ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือ Dynamic Host Configuration Protocol สามารถเชื่อมต่อกับ Network Switch หรือ HUB ได้โดยผ่านสาย LAN สามารถทำงานในลักษณะ Router ซึ่งทำให้ผู้คนหลายคน สามารถใช้งานระบบ Broadband ได้2.Wireless Adapter เป็นอุปกรณ์ซึ่งต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายไร้สาย โดยการทำงานของ Wireless Adapter จะเป็นลักษณะการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุแบบ Two-way ทั้งรับทั้งส่งรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สาย
1.แบบ Peer-to-peerเป็นลักษณะการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น เป็นการใช้งานร่วมกันของ Wireless Adapter cards โดยไม่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายแบบใช้สายเลย โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทำงานได้และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้
2.แบบ Client/Serverเป็นลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point หรือเรียกว่า “Hot spot”ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย โดยกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อรับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมี
3.แบบ Multiple access points and roamingเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับ Access Point ของเครือข่ายไร้สาย จะอยู่ในรัศมีประมาณ 500 ฟุต ภายในอาคารและ 1,000 ฟุต ภายนอกอาคาร หากสถานที่ที่ติดตั้งมีขนาดกว้างมากๆ
4.แบบ Use of an Extension Pointกรณีที่โครงสร้างของสถานที่ติดตั้งเครือข่ายแบบไร้สายมีปัญหา ผู้ออกแบบระบบอาจจะใช้ Extension Point ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สายเป็นส่วนที่ใช้เพิ่มเติมในการรับส่งสัญญาณ
5.แบบ The Use of Directional Antennasระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่าง5.การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายการทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายเรียกว่า”เซิร์ฟเวอร์”เป็นเครื่องที่ให้บริการแก่แก่เครื่องอื่น เครื่องลูกข่ายหรือเรียกว่า”ไคลเอนท์”หรือบางครั้งเรียกว่า “เวิร์กสเตชั่น” โดยทั่วทั่วไปการจัดแบ่งหน้าที่การทำงานของคอมพิเตอร์ระบบเครือข่ายไว้ 2แบบใหญ่ คือแบบที่ทุกเครื่องมีศักดิ์ศรีเท่ากันเรียกว่า Peer-to-Peer หมายถึงแต่ละเครื่องจะยอมให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบเข้ามาใช้ข้อมูล หรืออุปกรณ์ต่าง ๆได้ โดยเสมอภาคภาคกันแบบที่เรียกว่า”Server-based” หรือ “Dedicated Server”การทำงานของระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ สามารถทำได้โดยการนำระบบ LAN หลายๆวงมาเชื่อมต่อกัน โดยใช้อุกรณ์ประกอบเพิ่มเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น
1.อุปกรณ์ Repeater ใช้เมื่อสายที่มีต่อมีความยาวเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด ไม่สามารถรับสัญญาณได้จึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า “รีพีตเตอร์” เพื่อทำหน้าที่ทวนสัญญาณ ช่วยขยายสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งบนสายแลนให้ไกลขึ้น แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถกลั่นกรองข้อมูลที่ส่งผ่านได้ ซึ่งเหมือนกับ Hub ที่ใช้กันในระบบ LAN
2.อุปกรณ์ Bridge ทำหน้าที่เป็นสะพานข้อมูลที่ส่งข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือหนึ่งมีปลายทางอยู่ สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่าย โดยข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือข่ายหนึ่งมีปลายทางอยู่อีกเครือข่ายหนึ่ง บริดจ์จะส่งข้อมูลข้ามไปให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยเหล่านั้น
3.อุปกรณ์ Switch ทำหน้าที่รวบรวมสัญญาณหรือ เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานในลักษณะบริดจ์ แบ่งสาย 1 เส้น หรือ 1 พอร์ต เป็น 1 เครือข่าย ข้อมูลใด ๆ ที่ถูกส่งเข้ามาทางพอร์ต จะถูกต้องส่งต่อออกไปเฉพาะพอร์ตที่ต่อกับผู้รับเท่านั้น
4.อุปกรณ์ Router ทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ Node หนึ่งในระบบ หนึ่งในระบบ LAN รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อยังปลายทาง คล้ายกับ Switch และ Bridge ทำหน้าที่หลักคือ หาเส้นทางที่ดีสุดในการส่งข้อมูลต่อไปยังเครือข่ายอื่น
1.ใช้ทรัพยากรร่วมกัน คือเพื่อใช้อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์
2.ใช้ข้อมูลในไฟล์ร่วมกัน คือข้อมูลชุดเดียวกันสามารถเรียกใช้ได้จากหลาย ๆ เครื่อง
3.ความสะดวกในการดูเเลระบบ คือทำให้สามารถดูเเละบริหารระบบได้จากที่เดียวประเภทของเครือข่าย สามารถเเบ่งได้กว้าง ๆ เป็น 2 ลักษณะ คือ
1.LAN อ่านว่า เเลน เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระบบจำกัด
2.WAN อ่านว่า เเวน เป็นการเชื่อมต่อเเลนในที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกันในระยะจำกัดข้อจำกัดของระบบเครือข่ายการนำระบบเครือข่ายมาใช้งาน ผู้ว่างระบบจะต้องคิดให้รอบคอบว่าการต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายนั้น จพทำได้ตามความต้องการหรือไม่ เเละมีขีดจำกัดอย่างไร ข้อจำกัดของระบบเครือข่ายมีหลายอย่าง ดังนี้
1.การเรียกใช้ข้อมูลทำได้ช้า
2.ข้อมูลไม่สามารถใช้ได้ทันที
3.ยากต่อการควบคุมดูเเล
2.องค์ประกอบของระบบเครือข่ายองค์ประกอบของระบบเครือข่ายโดยทั่ว ๆไป จะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
2.1อุปกรณ์ฮาร์ดเเวร์ (Natware) คือ อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อเข้าเป็นระบบเครือข่าย เช่น
1.การ์ดเเลน (Networt Interface Cart:NIC)เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสาย Lan
2.ฮับ/สวิตซ์(Hub/Switch)เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการต่อระบบเครือข่าย
2.2ซอฟต์เเวร์ (softwar)คือโปรเเกรมต่าง ๆ ตั่งเเต่โปรเเกรมที่เป็นไดรเวอร์ควบคุมการ์ดเเลน
2.3สื่อกลางนำข้อมูล (Media) สื่อกลางนำข้อมูลในระบบเครือข่าย เริ่มตั่งเเต่สายเคเบิลต่างๆสายเคเบิล ที่นิยมใช้กันมีหลายประเภท คือ
1.สายโคเเอกเชี่ยม เป็นสายเส้นเดี่ยวเเบบที่มีเปลือกเป็นสายโลหะถัก
2.สายUTP เป็นสายขนาดเล็กคล้ายสายโทรศัพท์มี8เส้น ตีเกลียวเป็นคู่ๆ
3.สายSTP เป็นสายคู่เล็กๆ ตีเกรียวไขว้กันเบบสาย UTP เเต่มีฉนวนหรือเปลือกหุ้มที่เป็นโลหะถักเพื่อป้องกันสัญญาณระกวน
4.สายใยเเก้วนำเเสง เป็นสายที่ใช้กับการสัญญาณด้วยเเสง
3.มาตรฐานของระบบเครือข่ายระบบLAN ที่ใช้กันในปัจจุบันมีลักษณะทางฮาร์ดแวร์ที่ยึดมาตรฐานของสถาบันวิศวกรรมและอิเล็กทรอนิกส์สหรัฐ ฯ หรือ IEEE โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ อีเทอร์เน็ต และ Token-Ringโดยมีเกณฑ์หรือโปรโตคอลแบบCSMA/CD ซึ่งเป็นชื่อมาตรฐานของ Ethernet นั้นจะแยกแยะได้ด้วยรหัสด้งนี้-ความเร็ว หมายถึง ตัวบอกว่าระบบนั้นทำความเร็วได้เท่าไร ปัจจุบันมีใช้กันคือ 10,100 หรือ 1000 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นค่าเลขนี้จะเป็นค่าสูงสุดที่ระบบ LAN นั้นทำได้ในกรณีที่ไม่มีอุปสรรคอื่นใดมาถ่วงให้ช้าลง ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะได้ความเร็วต่ำกว่านี้มาก และการนำไปใช้เทียบเท่ากับค่าอื่น ๆวิธีการส่งสัญญาณ ปกติรหัสที่ใช้บอกการส่งสัญญาณทางไฟฟ้าบนระบบ Ethernet จะมี 2 ลักษณะคือ Baseband และ Broadband Baseband คือส่งเป็นสัญญาณแบบดิจิตอล 0 และ 1 หรือแรงดันไฟฟ้า 0 และ 5 โวลต์ โดยไม่มีการแสดงผสมสัญญาณกับความถี่สูงอื่นใด วิธีนี้การทำงานจะง่ายทั้งวงจรรับส่งข้อมูลแต่จะถูกรบกวนได้ง่ายและส่งได้ระยะทางไม่ไกล นอกจากนี้ในสายเส้นหนึ่ง ๆ ยังส่งสัญญาณแบบนี้ได้เพียงชุดเดียวเท่านั้นBroadband คือ การผสมสัญญาณข้อมูลที่จะส่งเข้ากับสัญญาณอนาล็อกหรือคลื่นพาหะที่มีความสูง เพื่อให้ส่งได้ไกลและมีความเพี้ยนน้อยกว่าแบบแรก นอกจากนี้ยังสามารถส่งได้หลายช่องทางสัญญาณหรือหลายแชนเนล โดยจัดการให้ข้อมูลชุดหนึ่งผสมกับสัญญาณที่ความถี่ช่วงหนึ่งนับเป็น 1 แชนเนล พอมีข้อมูลอีกชุดหนึ่งก็เลี่ยงไปใช้การผสมเข้ากับความถี่อื่น ๆที่ห่างออกไปมากพอที่จะไม่รบกวนกัน-สายที่ใช้ Ethernet แบบดังเดิมนั้นมีความเร็วเพียง 10 Mbps และมีการต่อสาย 3 แบบ ต่อมามีสายไฟเบอร์ออปติก เพิ่มขึ้นมาและสาย UTP ก็พัฒนาขึ้นจนทำความเร็วได้เป็น 1000 Mbps -Fast Ethernet และ Gigabit EthernetEhernet ในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วเพิ่มจาก 10 Mbps เป็น 100 และ 1,000 Mbps หรือมากกกว่านี้ ซึ่งสามารถใช้กับข้อมูลขนาดใหญ่หรือภาพนิ่ง หรือข้อมูลที่ต้องรับส่งให้ได้ตามเวลาจริง-Token-Ringเป็นระบบ LAN ต่อในแบบ Ring และใช้การควบคุมแบบ Token-passing ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม สายที่ใช้จะเป็นเคเบิลแบบพิเศษมี 2 คู่ ต่อเข้ากับ Hub ที่เรียกว่า MAU ซึ่ง 1 ตัวสามารถต่อได้ 8 เครื่อง และพ่วงระหว่าง MAU แต่ละตัวเข้าด้วยกันได้อีก เกิดเป็นลักษณะที่เห็นลกสายจาก MAU ไปยังแต่ละเครื่องเหมือนกับดาวกระจายหรือแบบ Star แต่ถ้าตรวจสอบสายจะเป็นแบบวงแหวน-FDDI เป็นมาตรฐานการต่อระบบเครือข่ายโดยอาศัยสาย Fiber Optic ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงถึง 100 Mbps กับ Fast Ethernet พื้นฐานลักษณะของ FDDI จะต่อเป็น Ring ที่มีสายสองชั้นเดินคู่ขนานกัน เพื่อสำรองในกรณีเกิดสายขาดขึ้น
4.ระบบเครือข่ายแบบไร้สายระบบเครือข่ายแบบไร้สายคือเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องของการไม่ต้องเดินสายเหมือนกับระบบ LAN แบบอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในบ้านที่ซึ่งไม่สะดวกในการเดินสาย และเป็นที่ไม่มีปัญหาเรื่องการรบกวนของสัญญาณวิทยุมากนักการทำงานของ Wireless LAN ทำงานโดนใช้คลื่นวิทยุรับส่งกันระหว่างอุปกรณ์รับส่งสัญญาณที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง กับจุดเข้าใช้เรียกว่า “Access Point” ซึ่งเป็นตัวกลางในติดต่อถึงกัน ระหว่างอุปกรณ์รับส่งแต่ละเครื่องความปลอดภัยของข้อมูลในระบบ LAN แบบไร้สาย สิ่งที่ควรคำนึงถึงการใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากข้อมูลลูกส่งไปในอากาศ ซึ่งสามารถถูกดักจับได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการเข้ารหัสที่เรียกว่า WEP แต่ปัจจุบันกำลังถูกมองว่าวิธีนี้ยังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควรจึงมีกรออกแบบมาตรฐานใหม่คือ WPA ซึ่งปลอดภัยกว่าแต่จะใช้ได้กับอุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ เท่านั้นอุปกรณ์ในติดตั้งระบบ Wi-Fi1.Access Point สามารถกำหนดค่า IP ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือ Dynamic Host Configuration Protocol สามารถเชื่อมต่อกับ Network Switch หรือ HUB ได้โดยผ่านสาย LAN สามารถทำงานในลักษณะ Router ซึ่งทำให้ผู้คนหลายคน สามารถใช้งานระบบ Broadband ได้2.Wireless Adapter เป็นอุปกรณ์ซึ่งต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายไร้สาย โดยการทำงานของ Wireless Adapter จะเป็นลักษณะการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุแบบ Two-way ทั้งรับทั้งส่งรูปแบบการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายไร้สาย
1.แบบ Peer-to-peerเป็นลักษณะการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องหรือมากกว่านั้น เป็นการใช้งานร่วมกันของ Wireless Adapter cards โดยไม่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายแบบใช้สายเลย โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีความเท่าเทียมกัน สามารถทำงานได้และขอใช้บริการเครื่องอื่นได้
2.แบบ Client/Serverเป็นลักษณะการรับส่งข้อมูลโดยอาศัย Access Point หรือเรียกว่า “Hot spot”ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างระบบเครือข่ายแบบใช้สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย โดยกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อรับ-ส่งข้อมูลเป็นรัศมี
3.แบบ Multiple access points and roamingเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับ Access Point ของเครือข่ายไร้สาย จะอยู่ในรัศมีประมาณ 500 ฟุต ภายในอาคารและ 1,000 ฟุต ภายนอกอาคาร หากสถานที่ที่ติดตั้งมีขนาดกว้างมากๆ
4.แบบ Use of an Extension Pointกรณีที่โครงสร้างของสถานที่ติดตั้งเครือข่ายแบบไร้สายมีปัญหา ผู้ออกแบบระบบอาจจะใช้ Extension Point ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ Access Point แต่ไม่ต้องผูกติดไว้กับเครือข่ายไร้สายเป็นส่วนที่ใช้เพิ่มเติมในการรับส่งสัญญาณ
5.แบบ The Use of Directional Antennasระบบแลนไร้สายแบบนี้เป็นแบบใช้เสาอากาศในการรับส่งสัญญาณระหว่างอาคารที่อยู่ห่างกัน โดยการติดตั้งเสาอากาศที่แต่ละอาคาร เพื่อส่งและรับสัญญาณระหว่าง5.การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายการทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายเรียกว่า”เซิร์ฟเวอร์”เป็นเครื่องที่ให้บริการแก่แก่เครื่องอื่น เครื่องลูกข่ายหรือเรียกว่า”ไคลเอนท์”หรือบางครั้งเรียกว่า “เวิร์กสเตชั่น” โดยทั่วทั่วไปการจัดแบ่งหน้าที่การทำงานของคอมพิเตอร์ระบบเครือข่ายไว้ 2แบบใหญ่ คือแบบที่ทุกเครื่องมีศักดิ์ศรีเท่ากันเรียกว่า Peer-to-Peer หมายถึงแต่ละเครื่องจะยอมให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบเข้ามาใช้ข้อมูล หรืออุปกรณ์ต่าง ๆได้ โดยเสมอภาคภาคกันแบบที่เรียกว่า”Server-based” หรือ “Dedicated Server”การทำงานของระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ สามารถทำได้โดยการนำระบบ LAN หลายๆวงมาเชื่อมต่อกัน โดยใช้อุกรณ์ประกอบเพิ่มเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น
1.อุปกรณ์ Repeater ใช้เมื่อสายที่มีต่อมีความยาวเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด ไม่สามารถรับสัญญาณได้จึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ที่เรียกว่า “รีพีตเตอร์” เพื่อทำหน้าที่ทวนสัญญาณ ช่วยขยายสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งบนสายแลนให้ไกลขึ้น แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถกลั่นกรองข้อมูลที่ส่งผ่านได้ ซึ่งเหมือนกับ Hub ที่ใช้กันในระบบ LAN
2.อุปกรณ์ Bridge ทำหน้าที่เป็นสะพานข้อมูลที่ส่งข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือหนึ่งมีปลายทางอยู่ สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายย่อย ๆ ในองค์กรเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่าย โดยข้อมูลที่ส่งออกมาในเครือข่ายหนึ่งมีปลายทางอยู่อีกเครือข่ายหนึ่ง บริดจ์จะส่งข้อมูลข้ามไปให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายใหญ่เพียงเครือข่ายเดียว เพื่อให้เครือข่ายย่อยเหล่านั้น
3.อุปกรณ์ Switch ทำหน้าที่รวบรวมสัญญาณหรือ เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานในลักษณะบริดจ์ แบ่งสาย 1 เส้น หรือ 1 พอร์ต เป็น 1 เครือข่าย ข้อมูลใด ๆ ที่ถูกส่งเข้ามาทางพอร์ต จะถูกต้องส่งต่อออกไปเฉพาะพอร์ตที่ต่อกับผู้รับเท่านั้น
4.อุปกรณ์ Router ทำงานเสมือนเป็นเครื่องหรือ Node หนึ่งในระบบ หนึ่งในระบบ LAN รับข้อมูลเข้ามาแล้วส่งต่อยังปลายทาง คล้ายกับ Switch และ Bridge ทำหน้าที่หลักคือ หาเส้นทางที่ดีสุดในการส่งข้อมูลต่อไปยังเครือข่ายอื่น
บทที่ 4 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานธุรกิจ
1. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานธุรกิจ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับระบบงานในองค์กรเเละงานด้านบริหารในโลกยุคใหม่มีการเเข่งขันอย่างรุนเเรง ยุคของการค้ารูปเเบบใหม่โดย ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเพิ่มช่องทางการค้าขาย
2.ความหมายของอีคอมเมอร์ซ (E-Commerce) อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อเเปลเป็นไทยว่า "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์" หมายถึงการดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เเละคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business อ่านว่า อี-บิสีเน็ส หมายถึงการทำกิจกรรมทุก ๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3.ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ ปัจจุบันยังคงมีการเเลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ เเละอีหลายบริษัทใช้วิธีป้อนข้อมูลลงในโปรเเกรมเเบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบสิรค้า ใบเสร็จรับเงินเเละจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์
4.ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1.มีสินค้าเเละ บริการราคาถูกจำหน่าย
2.ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ่น
3.สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4.ทราบ้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเเละบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5.ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6.สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7.ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8.ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์การธุรกิจ มีดังนี้
1.ขยายตลาดในระดับประเทศเเละระดับโลก
2.ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมากทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำ
3.ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวณ การกระจาย การเก็บเเละการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ90
4.ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะอินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าโทรศัพท์
5.ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถเเข่งขนกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6.ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ่น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1.สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง
2.การซื้อขายสินค้าราคาถูกลง
ประโยชน์ระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1.กิจการ smes ในประเทศกำลังพัฒนาอาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางในระดับโลก
2.ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้
3.บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง
4.ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5.เพื่มความเข้มข้นของการเเข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค 5ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิค มีดังนี้
1.ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยเเละความน่าเชื่อถือ
2.ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3.ซอฟต์เเวร์อยู่ระหว่างกำลังพัฒนา
4.ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตเเละซอฟต์เเวร์ของอีคอมเมิร์ซกับเเอพพลิเคชั่น
5.ต้องการ Web Server เเละ Networt Server ที่ออกเเบบมาเป็นพิเศษ
6.การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาเเพงเเละไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1.กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน เเละมีลักษณะที่เเตกต่างกัน
2.การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมื่อชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3.ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะเเตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1.วงจรผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายเเละรวดเร็ว
2.ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ
3.ภาษีเเละค่าธรรมเนียมจาก E-Commerce
4.ต้นทุนในการสร้าง E-Commerce
5.ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมาก
6.เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้าน อื่นๆ มีดังนี้
1.การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต
2.สิทธิส่วนบุคคล ระบบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้า
3.E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อถือเเละไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อเเละผู้ขาย
4.ยังไม่มีการประเมินผลการดำเนินงาน
5.จำนวนผู้ซื้อ/ผู้ขายที่ได้กำไรหรือประโยชน์จากE-Commerce ยังมีจำกัด 6โครงสร้างพื้นฐานของอีคอมเมิร์ซ การนำอีคอมเมิร์ซ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของเทคโนโลยี เเบ่งเป็นองค์ประกอบหลักได้5 ส่วน
1.การบริการทั่วไป เป็นบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกเเละรวดเร็ว
2.ช่องทางการติดต่อสื่อสาร เป็นช่องทางติดต่อสื่อสาร
3.รูปเเบบของเนื้อหา เป็นการจัดรูปเเบบเนื้อหาเพื่อการนำเสนอสินค้า
4.ระบบเครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตั่งเเต่2 เครื่องขึ่นไป
5.ส่วนประสานกับผู้ใช้ เป็นส่วนที่ใช้ในการติดต่อระหว่างผู้ใช้บริการผ่านโปรเเกรม Web 7.ประเภทของอีคอมเมิร์ซ อีคอมเมิร์ซ สำหรับธุรกิจค้ากำไร สามารถเเบ่งตามความสัมพันธ์ออกได้6ประเภท
1.เเบบธุรกิจกับธุรกิจ เป็นเเบบทำธุรกรรมการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้ประกอบ
2.เเบบธุรกิจกับผู้บริโภค เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้บริโภคโดยตรง
3.เเบบผู้บริโภคกับผู้บริโภค เป็นรูปเเบบของการทำธุรกิจกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคโดยตรง
4.เเบบผู้บริโภคกับธุรกิจ เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ
5.เเบบธุรกิจกับรัฐบาล เป็นรูปเเบบการจำหน่ายสินค้าเเละบริการโดยตรงจากผู้ค้ากับรัฐบาล
6.เเบบโมบายคอมเมิร์ซ เป็นรูปเเบบการค้าในระบบไร้สาย 8.ขั้นตอนการค้าเเบบอีคอมเมิร์ซ การทำธุรกิจในระบบอีคอมเมิร์ซ มีขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.เเนะนำสินค้า/บริการด้วยการออกเเบบเเละจัดทำเว็บไซต์ โดยจัดทำขึ่นเองหรือใช้บริการจากบริษัทที่รับออกเเบบเเละจัดทำเว็ปไซต์
2.สั่งซื้อสินค้าเเละบริการ เมื่อผู้ซื้อพบสินค้า หรือบริการที่ต้องการก็จะดูรายละเอียดปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องว่าสินค้าหรือบริการเป็นอย่างไร
3.การชำระค่าสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต เมื่อรายการสินค้าหรือบริการถูกส่งไป การชำระค่าสินค้าก็จะเป็นไปตามทางเลือกของระบบอีคอมเมิร์ซื้ผู้ขายได้จัดทำไว้
4.การจัดส่งสินค้าหรือบริการหลักจากที่มีการตกลงวิธีการชำระค่าสินค้า หรือบริการเเละวิธีการจัดส่งเเล้ว
2.ความหมายของอีคอมเมอร์ซ (E-Commerce) อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อเเปลเป็นไทยว่า "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์" หมายถึงการดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เเละคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business อ่านว่า อี-บิสีเน็ส หมายถึงการทำกิจกรรมทุก ๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3.ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ ปัจจุบันยังคงมีการเเลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ เเละอีหลายบริษัทใช้วิธีป้อนข้อมูลลงในโปรเเกรมเเบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบสิรค้า ใบเสร็จรับเงินเเละจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์
4.ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1.มีสินค้าเเละ บริการราคาถูกจำหน่าย
2.ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ่น
3.สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4.ทราบ้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเเละบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5.ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6.สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7.ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8.ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์การธุรกิจ มีดังนี้
1.ขยายตลาดในระดับประเทศเเละระดับโลก
2.ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมากทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำ
3.ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวณ การกระจาย การเก็บเเละการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ90
4.ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะอินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าโทรศัพท์
5.ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถเเข่งขนกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6.ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ่น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1.สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง
2.การซื้อขายสินค้าราคาถูกลง
ประโยชน์ระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1.กิจการ smes ในประเทศกำลังพัฒนาอาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางในระดับโลก
2.ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้
3.บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง
4.ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5.เพื่มความเข้มข้นของการเเข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค 5ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิค มีดังนี้
1.ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยเเละความน่าเชื่อถือ
2.ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3.ซอฟต์เเวร์อยู่ระหว่างกำลังพัฒนา
4.ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตเเละซอฟต์เเวร์ของอีคอมเมิร์ซกับเเอพพลิเคชั่น
5.ต้องการ Web Server เเละ Networt Server ที่ออกเเบบมาเป็นพิเศษ
6.การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาเเพงเเละไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1.กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน เเละมีลักษณะที่เเตกต่างกัน
2.การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมื่อชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3.ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะเเตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1.วงจรผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายเเละรวดเร็ว
2.ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ
3.ภาษีเเละค่าธรรมเนียมจาก E-Commerce
4.ต้นทุนในการสร้าง E-Commerce
5.ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมาก
6.เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้าน อื่นๆ มีดังนี้
1.การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต
2.สิทธิส่วนบุคคล ระบบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้า
3.E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อถือเเละไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อเเละผู้ขาย
4.ยังไม่มีการประเมินผลการดำเนินงาน
5.จำนวนผู้ซื้อ/ผู้ขายที่ได้กำไรหรือประโยชน์จากE-Commerce ยังมีจำกัด 6โครงสร้างพื้นฐานของอีคอมเมิร์ซ การนำอีคอมเมิร์ซ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของเทคโนโลยี เเบ่งเป็นองค์ประกอบหลักได้5 ส่วน
1.การบริการทั่วไป เป็นบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกเเละรวดเร็ว
2.ช่องทางการติดต่อสื่อสาร เป็นช่องทางติดต่อสื่อสาร
3.รูปเเบบของเนื้อหา เป็นการจัดรูปเเบบเนื้อหาเพื่อการนำเสนอสินค้า
4.ระบบเครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตั่งเเต่2 เครื่องขึ่นไป
5.ส่วนประสานกับผู้ใช้ เป็นส่วนที่ใช้ในการติดต่อระหว่างผู้ใช้บริการผ่านโปรเเกรม Web 7.ประเภทของอีคอมเมิร์ซ อีคอมเมิร์ซ สำหรับธุรกิจค้ากำไร สามารถเเบ่งตามความสัมพันธ์ออกได้6ประเภท
1.เเบบธุรกิจกับธุรกิจ เป็นเเบบทำธุรกรรมการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้ประกอบ
2.เเบบธุรกิจกับผู้บริโภค เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้บริโภคโดยตรง
3.เเบบผู้บริโภคกับผู้บริโภค เป็นรูปเเบบของการทำธุรกิจกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคโดยตรง
4.เเบบผู้บริโภคกับธุรกิจ เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ
5.เเบบธุรกิจกับรัฐบาล เป็นรูปเเบบการจำหน่ายสินค้าเเละบริการโดยตรงจากผู้ค้ากับรัฐบาล
6.เเบบโมบายคอมเมิร์ซ เป็นรูปเเบบการค้าในระบบไร้สาย 8.ขั้นตอนการค้าเเบบอีคอมเมิร์ซ การทำธุรกิจในระบบอีคอมเมิร์ซ มีขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.เเนะนำสินค้า/บริการด้วยการออกเเบบเเละจัดทำเว็บไซต์ โดยจัดทำขึ่นเองหรือใช้บริการจากบริษัทที่รับออกเเบบเเละจัดทำเว็ปไซต์
2.สั่งซื้อสินค้าเเละบริการ เมื่อผู้ซื้อพบสินค้า หรือบริการที่ต้องการก็จะดูรายละเอียดปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องว่าสินค้าหรือบริการเป็นอย่างไร
3.การชำระค่าสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต เมื่อรายการสินค้าหรือบริการถูกส่งไป การชำระค่าสินค้าก็จะเป็นไปตามทางเลือกของระบบอีคอมเมิร์ซื้ผู้ขายได้จัดทำไว้
4.การจัดส่งสินค้าหรือบริการหลักจากที่มีการตกลงวิธีการชำระค่าสินค้า หรือบริการเเละวิธีการจัดส่งเเล้ว
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
บทที่ 4 การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานธุรกิจ
1. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานธุรกิจ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับระบบงานในองค์กรเเละงานด้านบริหารในโลกยุคใหม่มีการเเข่งขันอย่างรุนเเรง ยุคของการค้ารูปเเบบใหม่โดย ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเพิ่มช่องทางการค้าขาย
2.ความหมายของอีคอมเมอร์ซ (E-Commerce)
อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อเเปลเป็นไทยว่า "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์" หมายถึงการดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เเละคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business อ่านว่า อี-บิสีเน็ส หมายถึงการทำกิจกรรมทุก ๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3.ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ
ปัจจุบันยังคงมีการเเลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ เเละอีหลายบริษัทใช้วิธีป้อนข้อมูลลงในโปรเเกรมเเบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบสิรค้า ใบเสร็จรับเงินเเละจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์
4.ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1.มีสินค้าเเละ บริการราคาถูกจำหน่าย
2.ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ่น
3.สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4.ทราบ้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเเละบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5.ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6.สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7.ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8.ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์การธุรกิจ มีดังนี้
1.ขยายตลาดในระดับประเทศเเละระดับโลก
2.ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมากทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำ
3.ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวณ การกระจาย การเก็บเเละการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ90
4.ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะอินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าโทรศัพท์
5.ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถเเข่งขนกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6.ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ่น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1.สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง
2.การซื้อขายสินค้าราคาถูกลง
ประโยชน์ระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1.กิจการ smes ในประเทศกำลังพัฒนาอาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางในระดับโลก
2.ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้
3.บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง
4.ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5.เพื่มความเข้มข้นของการเเข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
5ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิค มีดังนี้
1.ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยเเละความน่าเชื่อถือ
2.ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3.ซอฟต์เเวร์อยู่ระหว่างกำลังพัฒนา
4.ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตเเละซอฟต์เเวร์ของอีคอมเมิร์ซกับเเอพพลิเคชั่น
5.ต้องการ Web Server เเละ Networt Server ที่ออกเเบบมาเป็นพิเศษ
6.การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาเเพงเเละไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1.กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน เเละมีลักษณะที่เเตกต่างกัน
2.การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมื่อชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3.ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะเเตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1.วงจรผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายเเละรวดเร็ว
2.ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ
3.ภาษีเเละค่าธรรมเนียมจาก E-Commerce
4.ต้นทุนในการสร้าง E-Commerce
5.ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมาก
6.เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้าน อื่นๆ มีดังนี้
1.การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต
2.สิทธิส่วนบุคคล ระบบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้า
3.E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อถือเเละไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อเเละผู้ขาย
4.ยังไม่มีการประเมินผลการดำเนินงาน
5.จำนวนผู้ซื้อ/ผู้ขายที่ได้กำไรหรือประโยชน์จากE-Commerce ยังมีจำกัด
6โครงสร้างพื้นฐานของอีคอมเมิร์ซ
การนำอีคอมเมิร์ซ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของเทคโนโลยี เเบ่งเป็นองค์ประกอบหลักได้5 ส่วน
1.การบริการทั่วไป เป็นบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกเเละรวดเร็ว
2.ช่องทางการติดต่อสื่อสาร เป็นช่องทางติดต่อสื่อสาร
3.รูปเเบบของเนื้อหา เป็นการจัดรูปเเบบเนื้อหาเพื่อการนำเสนอสินค้า
4.ระบบเครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตั่งเเต่2 เครื่องขึ่นไป
5.ส่วนประสานกับผู้ใช้ เป็นส่วนที่ใช้ในการติดต่อระหว่างผู้ใช้บริการผ่านโปรเเกรม Web
7.ประเภทของอีคอมเมิร์ซ
อีคอมเมิร์ซ สำหรับธุรกิจค้ากำไร สามารถเเบ่งตามความสัมพันธ์ออกได้6ประเภท
1.เเบบธุรกิจกับธุรกิจ
เป็นเเบบทำธุรกรรมการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้ประกอบ
2.เเบบธุรกิจกับผู้บริโภค
เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้บริโภคโดยตรง
3.เเบบผู้บริโภคกับผู้บริโภค
เป็นรูปเเบบของการทำธุรกิจกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคโดยตรง
4.เเบบผู้บริโภคกับธุรกิจ
เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ
5.เเบบธุรกิจกับรัฐบาล
เป็นรูปเเบบการจำหน่ายสินค้าเเละบริการโดยตรงจากผู้ค้ากับรัฐบาล
6.เเบบโมบายคอมเมิร์ซ
เป็นรูปเเบบการค้าในระบบไร้สาย
8.ขั้นตอนการค้าเเบบอีคอมเมิร์ซ
การทำธุรกิจในระบบอีคอมเมิร์ซ มีขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.เเนะนำสินค้า/บริการด้วยการออกเเบบเเละจัดทำเว็บไซต์ โดยจัดทำขึ่นเองหรือใช้บริการจากบริษัทที่รับออกเเบบเเละจัดทำเว็ปไซต์
2.สั่งซื้อสินค้าเเละบริการ เมื่อผู้ซื้อพบสินค้า หรือบริการที่ต้องการก็จะดูรายละเอียดปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องว่าสินค้าหรือบริการเป็นอย่างไร
3.การชำระค่าสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต เมื่อรายการสินค้าหรือบริการถูกส่งไป การชำระค่าสินค้าก็จะเป็นไปตามทางเลือกของระบบอีคอมเมิร์ซื้ผู้ขายได้จัดทำไว้
4.การจัดส่งสินค้าหรือบริการหลักจากที่มีการตกลงวิธีการชำระค่าสินค้า หรือบริการเเละวิธีการจัดส่งเเล้ว
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับระบบงานในองค์กรเเละงานด้านบริหารในโลกยุคใหม่มีการเเข่งขันอย่างรุนเเรง ยุคของการค้ารูปเเบบใหม่โดย ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเพิ่มช่องทางการค้าขาย
2.ความหมายของอีคอมเมอร์ซ (E-Commerce)
อีคอมเมิร์ซ หรือชื่อเเปลเป็นไทยว่า "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์" หมายถึงการดำเนินธุรกิจซื้อขายโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เเละคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E-Business อ่านว่า อี-บิสีเน็ส หมายถึงการทำกิจกรรมทุก ๆ อย่างทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
3.ความเป็นมาของอีคอมเมิร์ซ
ปัจจุบันยังคงมีการเเลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าบริษัทด้วยการใช้ระบบไปรษณีย์ เเละอีหลายบริษัทใช้วิธีป้อนข้อมูลลงในโปรเเกรมเเบบฟอร์มทางธุรกิจไม่ว่าเป็นใบสั่งซื้อใบสิรค้า ใบเสร็จรับเงินเเละจัดพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์
4.ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซ
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อบุคคล มีดังนี้
1.มีสินค้าเเละ บริการราคาถูกจำหน่าย
2.ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ่น
3.สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
4.ทราบ้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเเละบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
5.ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
6.สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
7.ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้าสามารถติดต่อกับลูกค้ารายอื่นในการเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น
8.ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า
ประโยชน์ของอีคอมเมิร์ซต่อองค์การธุรกิจ มีดังนี้
1.ขยายตลาดในระดับประเทศเเละระดับโลก
2.ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมากทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำ
3.ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวณ การกระจาย การเก็บเเละการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ90
4.ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะอินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าโทรศัพท์
5.ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถเเข่งขนกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
6.ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ่น
ประโยชน์อีคอมเมิร์ซต่อสังคม มีดังนี้
1.สามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง
2.การซื้อขายสินค้าราคาถูกลง
ประโยชน์ระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1.กิจการ smes ในประเทศกำลังพัฒนาอาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางในระดับโลก
2.ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้
3.บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อขายลดลง
4.ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
5.เพื่มความเข้มข้นของการเเข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
5ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซ
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านเทคนิค มีดังนี้
1.ขาดมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความปลอดภัยเเละความน่าเชื่อถือ
2.ความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด
3.ซอฟต์เเวร์อยู่ระหว่างกำลังพัฒนา
4.ปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเทอร์เน็ตเเละซอฟต์เเวร์ของอีคอมเมิร์ซกับเเอพพลิเคชั่น
5.ต้องการ Web Server เเละ Networt Server ที่ออกเเบบมาเป็นพิเศษ
6.การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังมีราคาเเพงเเละไม่สะดวก
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านกฎหมาย มีดังนี้
1.กฎหมายที่สามารถคุ้มครองการทำธุรกรรมข้ามรัฐหรือข้ามประเทศ ไม่มีมาตรฐานที่เหมือนกัน เเละมีลักษณะที่เเตกต่างกัน
2.การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือลายมื่อชื่ออิเล็กทรอนิกส์จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่
3.ปัญหาเกิดจากการทำธุรกรรม เช่น การส่งสินค้ามีลักษณะเเตกต่างจากที่โฆษณาบนอินเทอร์เน็ต จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้านธุรกิจ มีดังนี้
1.วงจรผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) จะสั้นลงเพราะการเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายเเละรวดเร็ว
2.ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ
3.ภาษีเเละค่าธรรมเนียมจาก E-Commerce
4.ต้นทุนในการสร้าง E-Commerce
5.ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางด้านเทคโนโลยีสูงมาก
6.เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดการฟอกเงินได้ง่าย
ข้อจำกัดของอีคอมเมิร์ซด้าน อื่นๆ มีดังนี้
1.การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบนอินเทอร์เน็ต
2.สิทธิส่วนบุคคล ระบบบการจ่ายเงินหรือการให้ข้อมูลของลูกค้า
3.E-Commerce เหมาะกับระบบเศรษฐกิจที่สามารถเชื่อถือเเละไว้วางใจได้ทั้งผู้ซื้อเเละผู้ขาย
4.ยังไม่มีการประเมินผลการดำเนินงาน
5.จำนวนผู้ซื้อ/ผู้ขายที่ได้กำไรหรือประโยชน์จากE-Commerce ยังมีจำกัด
6โครงสร้างพื้นฐานของอีคอมเมิร์ซ
การนำอีคอมเมิร์ซ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานของเทคโนโลยี เเบ่งเป็นองค์ประกอบหลักได้5 ส่วน
1.การบริการทั่วไป เป็นบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกเเละรวดเร็ว
2.ช่องทางการติดต่อสื่อสาร เป็นช่องทางติดต่อสื่อสาร
3.รูปเเบบของเนื้อหา เป็นการจัดรูปเเบบเนื้อหาเพื่อการนำเสนอสินค้า
4.ระบบเครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตั่งเเต่2 เครื่องขึ่นไป
5.ส่วนประสานกับผู้ใช้ เป็นส่วนที่ใช้ในการติดต่อระหว่างผู้ใช้บริการผ่านโปรเเกรม Web
7.ประเภทของอีคอมเมิร์ซ
อีคอมเมิร์ซ สำหรับธุรกิจค้ากำไร สามารถเเบ่งตามความสัมพันธ์ออกได้6ประเภท
1.เเบบธุรกิจกับธุรกิจ
เป็นเเบบทำธุรกรรมการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้ประกอบ
2.เเบบธุรกิจกับผู้บริโภค
เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้ประกอบกับผู้บริโภคโดยตรง
3.เเบบผู้บริโภคกับผู้บริโภค
เป็นรูปเเบบของการทำธุรกิจกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคโดยตรง
4.เเบบผู้บริโภคกับธุรกิจ
เป็นรูปเเบบของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ
5.เเบบธุรกิจกับรัฐบาล
เป็นรูปเเบบการจำหน่ายสินค้าเเละบริการโดยตรงจากผู้ค้ากับรัฐบาล
6.เเบบโมบายคอมเมิร์ซ
เป็นรูปเเบบการค้าในระบบไร้สาย
8.ขั้นตอนการค้าเเบบอีคอมเมิร์ซ
การทำธุรกิจในระบบอีคอมเมิร์ซ มีขั้นตอน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.เเนะนำสินค้า/บริการด้วยการออกเเบบเเละจัดทำเว็บไซต์ โดยจัดทำขึ่นเองหรือใช้บริการจากบริษัทที่รับออกเเบบเเละจัดทำเว็ปไซต์
2.สั่งซื้อสินค้าเเละบริการ เมื่อผู้ซื้อพบสินค้า หรือบริการที่ต้องการก็จะดูรายละเอียดปลีกย่อยที่เกี่ยวข้องว่าสินค้าหรือบริการเป็นอย่างไร
3.การชำระค่าสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต เมื่อรายการสินค้าหรือบริการถูกส่งไป การชำระค่าสินค้าก็จะเป็นไปตามทางเลือกของระบบอีคอมเมิร์ซื้ผู้ขายได้จัดทำไว้
4.การจัดส่งสินค้าหรือบริการหลักจากที่มีการตกลงวิธีการชำระค่าสินค้า หรือบริการเเละวิธีการจัดส่งเเล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)